ไทยยูเนี่ยน อินกรีเดียนท์
ในปี 2560 ไทยยูเนี่ยนได้ลงทุนในหน่วยธุรกิจส่วนประกอบอาหาร หรือ ไทยยูเนี่ยน อินกรีเดียนท์ (TUI) ที่มุ่งเน้นธุรกิจเกี่ยวกับส่วนประกอบอาหารที่ผลิตจากอาหารทะเล ทั้งนี้เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่เพิ่มสูงขึ้นในผลิตภัณฑ์ทางธรรมชาติและมีประโยชน์ทางโภชนาการ โดยหน่วยธุรกิจนี้ได้นำผลงาน การค้นคว้าจากศูนย์นวัตกรรมไทยยูเนี่ยนมาพัฒนาต่อยอดขึ้นเป็นธุรกิจและผลิตภัณฑ์ที่มีการเพิ่มมูลค่าให้สูงขึ้น ในขณะเดียวกันก็สามารถสร้างอนาคตที่ยั่งยืนให้กับอุตสาหกรรมทูน่าได้ด้วยการใช้ประโยชน์สูงสุดจากปลาทั้งตัวในกระบวนการแปรรูปของไทยยูเนี่ยน
การเปิดตัวหน่วยธุรกิจ TUI นี้ทำให้ไทยยูเนี่ยนเป็นผู้ผลิตน้ำมันปลาทูน่าคุณภาพสูงรายเดียวที่ดูแลควบคุมการผลิตแบบครบวงจร ตั้งแต่วัตถุดิบไปจนถึงสินค้า โดยน้ำมันทูน่าที่ผลิตได้นี้ได้รับการยอมรับว่าอุดมไปด้วยกรดไขมันกลุ่มโอเมก้า 3 โดยเฉพาะชนิดที่เรียกว่าดีเอชเอ ซึ่งมีประโยชน์อย่างมากต่อพัฒนาการทางสมองของเด็กทารก และยังดีต่อสุขภาพของคนทุกช่วงวัยอีกด้วย
น้ำมันปลาทูน่าของไทยยูเนี่ยนถูกสกัดมาจากหัวปลาทูน่าดิบซึ่งไม่ผ่านกระบวนการปรุงด้วยความร้อน ซึ่งนับเป็นส่วนของปลาทูน่าที่มีน้ำมันในคุณภาพที่ดีที่สุด ขั้นตอนการผลิตน้ำมันปลาทูน่าเริ่มต้นที่โรงงานสกัดน้ำมันของไทยยูเนี่ยน ซึ่งอยู่ในบริเวณใกล้เคียงกับโรงงานแปรรูปปลาทูน่าของไทยยูเนี่ยนในจังหวัดสมุทรสาคร ประเทศไทย ดังนั้นวัตถุดิบหัวปลาทูน่าจึงสามารถนำเข้าสู่กระบวนการสกัดน้ำมันได้ในทันที เพื่อส่งต่อไปยังโรงกลั่นน้ำมันปลาของไทยยูเนี่ยนในประเทศเยอรมนี
ในปี 2563 ไทยยูเนี่ยนจะเริ่มดำเนินงานโรงกลั่น ณ เมืองรอสต็อก ประเทศเยอรมนี โดยได้สร้างโรงกลั่นใหม่หลังจากเหตุเพลิงไหม้ในปี 2562 โรงกลั่นน้ำมันปลาทูน่าแห่งนี้มีความสามารถในการผลิตน้ำมันปลาทูน่าประมาณ 50-100 ตันต่อสัปดาห์ นอกเหนือจากเทคโนโลยีอันทันสมัยแล้ว โรงกลั่นน้ำมันปลาทูน่าแห่งนี้ยังตั้งอยู่ใกล้กับกลุ่มลูกค้าน้ำมันปลาทูน่าบริสุทธิ์อีกด้วย
โรงกลั่นน้ำมันปลาทูน่าของ TUI ตั้งเป้าจะผลิตน้ำมันปลาทูน่าบริสุทธิ์ปีละ 5,000 ตัน เพื่อส่งเป็นวัตถุดิบให้แก่โรงงานผู้ผลิตสินค้าด้านสารอาหารโภชนาการ เช่น อาหารสำหรับทารก อาหารเสริม และอาหารเพื่อสุขภาพ โดยที่ TUI ยังได้มองหาโอกาสในการขยายธุรกิจไปยังกลุ่มผลิตภัณฑ์ทางโภชนาการอื่นๆ เช่น ผลิตภัณฑ์โปรตีนชนิดต่างๆ และผลิตภัณฑ์แคลเซียมเสริมสร้างกระดูก
โดยการดูแล ควบคุม และเป็นเจ้าของการผลิตครบวงจรนี้ทำให้บริษัทสามารถมุ่งเน้นด้านคุณภาพและความยั่งยืน “ตั้งแต่ท่าเรือจนกระทั่งเป็นผลิตภัณฑ์ถึงมือผู้บริโภค” ทั้งยังสามารถตรวจสอบย้อนกลับถึงแหล่งที่มาของวัตถุดิบได้อีกด้วย ซึ่งระบบการตรวจสอบย้อนกลับนี้จะช่วยป้องกันและจัดการประเด็นการทำประมงผิดกฎหมาย ที่ขาดการรายงานและไร้การควบคุม หรือ IUU โดยกำกับดูแลเรือประมงให้ปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับในการจัดการกับสัตว์พลอยได้จากการประมง รวมทั้งจัดการกับแรงงานที่ผิดกฎหมายและแรงงานบังคับ เนื่องจากไทยยูเนี่ยนนำปลาจากการประมงเหล่านั้นมาใช้ในการสกัดน้ำมันปลาตั้งแต่ต้น บริษัทจึงสามารถจัดการกับปริมาณที่เป็นที่ต้องการให้กับลูกค้าได้ ซึ่งแตกต่างจากผู้ผลิตน้ำมันทูน่าสกัดรายอื่นที่ต้องหาแหล่งน้ำมันดิบจากท้องตลาดทั่วไป