สิ่งแวดล้อม อาชีวอนามัย และความปลอดภัย
สิ่งแวดล้อม อาชีวอนามัย และความปลอดภัย
ไทยยูเนี่ยน มีการริเริ่มโครงการมากมายที่ช่วยให้มั่นใจว่า บริษัทดำเนินงานด้วยความรับผิดชอบ และได้จัดการกับประเด็นที่มีนัยสำคัญบางประการอย่างเหมาะสม เพื่อให้สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ ซึ่งในบทนี้เรามุ่งเน้นไปยังเป้าหมายประการที่ 12 แผนการบริโภคและการผลิตที่ยั่งยืน และประการที่ 13 การรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ในปี 2565 และปีต่อๆ ไป เราเชื่อว่า เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนเหล่านี้ จะมีบทบาทสำคัญมากขึ้นในกลยุทธ์ความยั่งยืนของเรา
ความเสี่ยงทางด้านสิ่งแวดล้อมของโลก เช่น การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การใช้ทรัพยากรธรรมชาติ และการจัดการของเสีย จะมีผลกระทบเชิงลบต่อท้องทะเลของเรามากขึ้นเรื่อยๆ และเป็นภัยคุกคามต่อสัตว์ทะเลสายพันธุ์ต่างๆ ที่เราต้องพึ่งพา ดังนั้นวิธีการดำเนินงานของเราจะต้องมีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม รวมทั้งแสดงถึงบทบาทหน้าที่การดูแลพนักงาน
เราได้ริเริ่มโครงการต่างๆ ในสถานที่ทำงานของเราเพื่อนำไปสู่การลดการใช้น้ำ การใช้พลังงาน การลดปริมาณของเสียที่ถูกฝังกลบ การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และการลดอุบัติเหตุในสถานที่ทำงาน เราต้องการให้ทุกคนที่ทำงานกับไทยยูเนี่ยนมีบทบาทอย่างแข็งขันที่จะช่วยกันขับเคลื่อนเป้าหมายด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสิ่งแวดล้อม ซึ่งเราเห็นความปลอดภัยและการปกป้องสิ่งแวดล้อมเป็นหน้าที่ของทุกๆ คน นอกจากนี้เรายังมุ่งมั่นที่จะสร้างความก้าวหน้าในนโยบายด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัยอย่างต่อเนื่อง รวมถึงมาตรฐานด้านความปลอดภัย วิธีปฏิบัติและกระบวนการต่างๆ ที่นี่
โควิด 19
ไทยยูเนี่ยน ให้ความสำคัญสูงสุดต่อสุขภาพ ความปลอดภัย และความเป็นอยู่ที่ดีของพนักงาน พันธมิตร คู่ค้า ลูกค้า และชุมชนท้องถิ่นอยู่เสมอ ตั้งแต่มีการแพร่ระบาดของโควิด 19 เกิดขึ้นในปี 2562 เราได้มีการทำงานอย่างใกล้ชิดกับหน่วยงานกำกับดูแลในท้องถิ่น ผู้นำชุมชน และองค์การนอกภาครัฐต่างๆ เพื่อดูแลความปลอดภัยของพนักงานและชุมชน
สองปีที่ผ่าน เรามีมาตรการที่ครอบคลุมอย่างเคร่งครัดเพื่อป้องกันการติดเชื้อภายในโรงงาน เช่น การเว้นระยะห่างทางสังคม การสวมอุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล (PPE) และการแบ่งกลุ่มสลับเข้าทำงาน นอกจากนี้บริษัทยังขั้นตอนปฏิบัติที่รัดกุมในกรณีพบผู้ที่มีผลตรวจเป็นบวก รวมถึงการแยกและดูแลพนักงานที่ได้รับผลกระทบเพื่อกักตัวตามแนวทางของรัฐบาล เราจัดให้มีการตรวจสอบและตรวจหาเชื้อพนักงานที่อยู่ใกล้ชิดผู้ติดเชื้อ พร้อมทั้งทำความสะอาดฆ่าเชื้อบริเวณที่ผู้ติดเชื้อสัมผัส นอกจากนี้ เรายังจัดให้มีการฉีดวัคซีนโควิด 19 ให้กับพนักงาน ทั้งที่เป็นวัคซีนภายใต้โครงการรัฐบาล และในส่วนที่บริษัทสมทบให้กับพนักงาน
ความปลอดภัย อาชีวอนามัยและสิ่งแวดล้อม
การสร้างสถานที่ทำงานที่ปลอดภัยเพื่อลดความเสี่ยงของการบาดเจ็บและเสียชีวิต เป็นเรื่องที่ไทยยูเนี่ยนให้ความสำคัญสูงสุดของเป็นอันดับแรก
เพื่อให้มั่นใจว่า เรามีการเตรียมพร้อมที่จะรับมือกับเรื่องอันตรายที่สำคัญต่างๆ เราสามารถลดความสูญเสียทางกายภาพและทางการเงิน และสามารถมั่นใจได้ว่าธุรกิจดำเนินการได้อย่างต่อเนื่อง จึงมีการกำหนดมาตรการเหล่านี้ขึ้น ได้แก่ การประเมินความเสี่ยงด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัยและสิ่งแวดล้อมโดยเฉพาะอย่างยิ่งการประเมินความเสี่ยงการเกิดไฟไหม้ การเดินตรวจสอบ (Gemba) โดยผู้บริหาร ฝ่ายความปลอดภัย อาชีวอนามัยและสิ่งแวดล้อมอนุมัติโครงการก่อนอนุมัติงบประมาณโครงการหลัก การแจ้งและรายงานการเกิดอุบัติเหตุทันที และการวิเคราะห์รากสาเหตุของอุบัติเหตุ (Root Cause Analysis) เพื่อป้องกันการเกิดเหตุการณ์ซ้ำ (อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับ SHE management framework ที่นี่)
เรามีพันธกิจที่จะบรรลุเป้าหมายของอัตราความถี่การเกิดอุบัติเหตุถึงขั้นหยุดงาน (LTIFR) ด้วยการปฏิบัติตามแนวทางการจัดการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัยและสิ่งแวดล้อมของกลุ่มบริษัท ซึ่งปฏิบัติตามข้อกำหนดภาคบังคับด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัยและสิ่งแวดล้อม การวิเคราะห์ประเด็นหลัก 3 ประเด็นและรากสาเหตุของอุบัติเหตุ ซึ่งรวมถึงบทเรียนจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแม้จะไม่ได้ก่อให้เกิดความเสียหายก็ตาม
ในปี 2564 เราลดอัตราความถี่การเกิดอุบัติเหตุถึงขั้นหยุดงานของพนักงาน (LITFR)3 ได้ 13 เปอร์เซ็นต์เทียบกับปี 2563 ซึ่งลดลงได้มากกว่า 8 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว เรามีขั้นตอนการบริหารจัดการอุบัติเหตุให้เข้มงวดขึ้น ซึ่งรวมถึงการรายงานอุบัติเหตุ และการยกระดับความเร่งด่วนเพื่อให้มีการสอบสวนหาสาเหตุของอุบัติเหตุที่เหมาะสม รวมทั้งการให้ความรู้และการดำเนินตามมาตรการป้องกันในทุกโรงงานและสำนักงานของเรา นอกจากนี้เรารักษาอัตราการเจ็บป่วยจากการทำงานของพนักงานอยู่ที่ระดับศูนย์4
เรายังคงให้ความสำคัญกับการจัดการความเสี่ยงการเกิดเพลิงไฟไหม้ที่โรงงานของเรา ในปี 2563 เราได้ทำการประเมินโรงงานเพื่อวิเคราะห์ช่องว่างและมาตรการควบคุมความเสี่ยงที่จำเป็น ในปี 2564 เราเริ่มดำเนินโครงการควบคุมความเสี่ยง อันประกอบไปด้วยการยกระดับระบบป้องกันไฟไหม้ การเข้มงวดเรื่องการตรวจสอบสายไฟและอุปกรณ์ไฟฟ้า รวมถึงการบำรุงรักษาและกำหนดข้อบังคับด้านความปลอดภัยเบื้องต้นในโครงการใหม่ๆ ของเรา เราตั้งงบประมาณกว่า 200 ล้านบาทในช่วง 5 ปีข้างหน้าเพื่อยกระดับอุปกรณ์การป้องกันเพลิงไหม้ในโรงงานของเรา
การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
ไทยยูเนี่ยนมุ่งมั่นในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอยู่เสมอ โดยได้มีการศึกษาค้นคว้านวัตกรรมและริเริ่มโครงการต่างๆ เพื่อลดการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมให้น้อยที่สุด เรายังคงให้ความสำคัญกับการลดความเข้มข้นของการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การใช้น้ำ และปริมาณของเสียฝังกลบของเรา
สภาพภูมิอากาศ
เปรียบเทียบปี 2564 และปี 2563 ความเข้มข้นของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของเราลดลง 0.5 เปอร์เซ็นต์ ในปี 2564 เราได้ขยายโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ที่โรงงานของเราในจังหวัดสมุทรสาคร โดยมีส่วนของการผลิตพลังงานแสงอาทิตย์ที่ติดตั้งเพิ่มและติดตั้งแล้วเสร็จรวม 7 เมกะวัตต์ และเราสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ 4,409 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า นอกจากนี้เรายังทำงานอย่างต่อเนื่องเพื่อไปสู่การพัฒนาที่มีประสิทธิภาพไม่ว่าจะเป็นการปรับปรุงการจัดการ หรือการออกแบบทางวิศวกรรม ทั้งนี้เรากำลังค้นหาการเปลี่ยนหม้อไอน้ำที่ใช้ถ่านหินของเราเป็นเชื้อเพลิงชีวมวล
น้ำ
ความเข้มข้นของการใช้น้ำของเราลดลง 6 เปอร์เซ็นต์ นอกเหนือจากการปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้น้ำ เรามีการนำน้ำมาใช้ซ้ำและมีการนำมารีไซเคิลปริมาณ 1,888,825 ลูกบาศก์เมตร ในฐานะผู้ผลิตอาหารแปรรูป ความปลอดภัยของอาหารและคุณภาพของอาหารต้องไม่ได้รับผลกระทบ ทั้งนี้ เรากำลังทำงานอย่างใกล้ชิดร่วมกับฝ่ายผลิต ฝ่ายควบคุมคุณภาพ และฝ่ายวิศวกรรม เพื่อรักษาและควบคุมคุณภาพของการผลิต และสามารถลดการใช้น้ำและการปล่อยน้ำได้ในเวลาเดียวกัน
ของเสียและน้ำเสีย
ความเข้มข้นของปริมาณของเสียฝังกลบของเราเพิ่มขึ้น 1 เปอร์เซ็นต์ โดยส่วนใหญ่เพิ่มขึ้นเนื่องมาจากมาตรการที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์โควิด 19 ที่ดำเนินการโดยบริษัทเพื่อสุขภาพและความปลอดภัยของพนักงานทั้งหมดของเรา โดยของเสียเหล่านี้ได้แก่ อุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคลที่สวมใส่ของพนักงาน อุปกรณ์สุขอนามัยที่เป็นส่วนหนึ่งของการทำความสะอาดตามปกติในพื้นที่ทำงาน รวมถึงการทิ้งชุดตรวจโควิด 19 ที่ใช้แล้วของพนักงาน โดยเราให้ความสำคัญกับการแยกของเสียและการนำของเสียกลับมาใช้ประโยชน์ ด้วยเหตุนี้ เราจึงส่งของเสียปริมาณ 32,234,812 ตัน กลับมาใช้ซ้ำหรือนำมารีไซเคิล โดยมีปริมาณคิดเป็น 49 เปอร์เซ็นต์ของของเสียที่เกิดขึ้นทั้งหมดของเราถูกนำกลับมาใช้ซ้ำหรือนำมารีไซเคิล และมีเพียง 21 เปอร์เซ็นต์ของของเสียที่เกิดขึ้นทั้งหมดของเราถูกส่งไปฝังกลบ โดยการริเริ่มสำคัญคือ การลดกากตะกอนจากการบำบัดน้ำเสียโดยใช้เตาเผาก๊าซชีวภาพแปลงกากตะกอนจากการบำบัดน้ำเสียเป็นปุ๋ย และการจัดเก็บบรรจุภัณฑ์ (ของวัตถุดิบ) เพื่อนำไปรีไซเคิล
การจัดการน้ำ
น้ำมีความสำคัญต่ออย่างต่อเนื่องในธุรกิจอาหาร ดังนั้นการจัดการน้ำอย่างความรับผิดชอบจึงสำคัญต่ออนาคตของธุรกิจของไทยยูเนี่ยน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ที่มีความวิกฤตเรื่องน้ำซึ่งเป็นพื้นที่ที่เรามีการดำเนินงานอยู่ เราจัดการกักเก็บน้ำอย่างยั่งยืนรอบโรงงานของเราโดยปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้น้ำ รวมทั้งใช้น้ำซ้ำและการนำกลับมาใช้ใหม่ในกระบวนการผลิต
การประเมินและการจัดการความเสี่ยงวิกฤตเรื่องน้ำ
ในปี 2564 ไทยยูเนี่ยน ประเมินความเสี่ยงการขาดแคลนน้ำด้วยเครื่องมือ Aqueduct Water Risk Atlas 3.0 ซึ่งพัฒนาโดยสถาบันทรัพยากรโลก (World Resources Institute :WRI) การประเมินนี้ประกอบด้วย ปริมาณความเสี่ยงทางกายภาพ (เช่น ความตึงเครียดของการใช้น้ำพื้นฐาน (baseline water stress) ความเสี่ยงจากน้ำท่วมริมฝั่งแม่น้ำ (Riverine Flood Risk) และความเสี่ยงจากความแห้งแล้ง) คุณภาพความเสี่ยงทางกายภาพ และความเสี่ยงด้านกฎระเบียบและด้านชื่อเสียงสำหรับโรงงานผลิตของเรา5 และคู่ค้าหลักของเรา
เราพบว่า 3 เปอร์เซ็นต์ของโรงงานผลิตของเรา6 ตั้งอยู่ในพื้นที่ที่มีความวิกฤตเรื่องน้ำ ซึ่งคิดเป็นการดึงน้ำมาใช้ 2 เปอร์เซ็นต์ของการดึงน้ำมาใช้ของเราทั้งหมด นอกจากการพัฒนาการใช้ให้มีประสิทธิภาพและผลักดันให้มีการนำน้ำมาใช้ซ้ำหรือการนำมารีไซเคิลให้มากขึ้นแล้ว เรายังได้สำรวจแหล่งน้ำอื่นเพื่อลดผลกระทบต่อวิกฤตเรื่องน้ำในพื้นที่ ในปี 2564 เรามีปริมาณน้ำจากการกักเก็บน้ำฝนทั้งภายในและภายนอกองค์กร และน้ำทะเลอยู่ที่ 1,218,599.94 ลูกบาศก์เมตร
ความตึงเครียดของการใช้น้ำพื้นฐานวัดจากอัตราการใช้น้ำทั้งหมดของน้ำหมุนเวียนจากผิวดินและใต้ดิน โดยการนำน้ำมาใช้เช่น การใช้ในประเทศ อุตสาหกรรม ชลประทาน และการใช้เลี้ยงปศุสัตว์เพื่อการบริโภคและไม่ใช่เพื่อการบริโภค แหล่งน้ำที่มีการหมุนเวียนที่มีอยู่จะมีผลกระทบต่อผู้ใช้น้ำเพื่อการอุปโภคบริโภคจากต้นทาง และน้ำในเขื่อนขนาดใหญ่ปลายทาง หากค่าความตึงเครียดของน้ำสูงจะบ่งบอกว่า ผู้ใช้น้ำมีการแข่งขันกันใช้น้ำปริมาณที่สูง ความเสี่ยงด้านน้ำโดยรวมจะวัดจากความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับน้ำทั้งหมด โดยรวบรวมตัวชี้วัดทั้งหมดที่เลือกจากหมวดปริมาณทางกายภาพ (Physical Quantity) ความเสี่ยงทางคุณภาพ และความเสี่ยงด้านกฎระเบียบและชื่อเสียง หากมีค่าสูงจะบ่งบอกว่ามีความเสี่ยงด้านน้ำที่สูง
ผลลัพธ์ของการประเมินความเสี่ยงโดยใช้เครื่องมือ Aqueduct Water Risk Atlas 3.0 ซึ่งพัฒนาโดยสถาบันทรัพยากรโลก (World Resources Institute :WRI) แสดงให้เห็นถึง ลูกค้ารายสำคัญ (tier-1) ทั้งหมดจำนวน 64 รายตั้งอยู่ในพื้นที่ที่ “น้ำเสียไม่ผ่านการบำบัด” เรากำลังทำงานร่วมกับคู่ค้าของเราในส่วนของการจัดการห่วงโซ่อุปทานอย่างยั่งยืน (Sustainable Supply Chain Management) ซึ่งรวมถึงการศึกษาและตรวจสอบคู่ค้าในเรื่องดังกล่าว ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการเลือกคู่ค้าของเรา ไทยยูเนี่ยนกำลังดำเนินการเพื่อจัดการกับความเสี่ยง ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Aqueduct 3.0 ที่เกี่ยวข้องกับตัวชี้วัดความเสี่ยงวิกฤตน้ำทั่วโลก สามารถอ่านได้ที่นี่
ความพยายามทั้งหมดนี้ ไม่เพียงจะลดความเสี่ยงด้านการดำเนินงานของไทยยูเนี่ยนและคู่ค้าของเราเท่านั้น แต่ยังลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับชุมชนโดยรอบได้ ความเสี่ยงเรื่องน้ำเป็นเรื่องสำคัญที่อาจเกิดขึ้นในปัจจุบันหรือในอนาคตได้
3 ตัวเลขอัตราการเกิดอุบัติเหตุถึงขั้นหยุดงาน ต่อ 200,000 ชั่วโมงการทำงานของพนักงานและผู้รับเหมา (ขอบเขตการรายงานทั้งหมดสามารถดูได้ในรายงานเพื่อความยั่งยืน ปี 2564)
4 ตัวเลขอัตราการเจ็บป่วยจากการทำงาน ต่อ 200,000 ชั่วโมงการทำงานของพนักงานในโรงงานผลิต (ขอบเขตการรายงานทั้งหมดสามารถดูได้ในรายงานเพื่อความยั่งยืน ปี 2564)
5 ขอบเขตการรายงานทั้งหมดสามารถดูได้ในรายงานเพื่อความยั่งยืน ปี 2564
6 Aqueduct Country Rankings