ทียูเผยผลประกอบการไตรมาสที่ 3/2558 ธุรกิจเข้มแข็ง มาร์จิ้นปรับตัวสูงกว่า 17.3 เปอร์เซนต์

  • อัตรากำไรขั้นต้นเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยใน 3Q58 เท่ากับ 17.3 เปอร์เซนต์ สูงสุดเป็นประวัติการณ์นับตั้งแต่ 4 ปีที่ผ่านมา
  • ยอดขายโดยรวมในไตรมาสนี้ อยู่ที่ 32.6 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.2% เปอร์เซนต์ เมื่อเทียบกับ 3Q57 เนื่องจากการรวมผลการดำเนินงานของเมอร์อไลอันซ์ (MerAlliance) คิงออสการ์ (King Oscar) และโอไรออนซีฟู้ด (Orion Seafood) ที่ไทยยูเนี่ยนได้เข้าควบรวมกิจการไปเมื่อปีที่แล้ว
  • กำไรสุทธิไตรมาสนี้ เท่ากับ 1.63 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจาก 2 ไตรมาสที่แล้ว

กรุงเทพฯ - (11 พฤศจิกายน 2558) - บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ ทียู รายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 3 ประจำปี 2558 มียอดขายรวมเท่ากับ 32.6 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.2 เปอร์เซนต์ เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ที่เท่ากับ 30.4 พันล้านบาท โดยมีกำไรสุทธิเท่ากับ 1.63 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 15 เปอร์เซนต์เมื่อเทียบกับไตรมาสที่แล้ว ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องมาอยู่ที่ 17.3 เปอร์เซนต์ ซึ่งเป็นไตรมาสที่สูงสุดนับตั้งแต่ 4 ปีที่ผ่านมา นับเป็นแนวโน้มที่ดี

สำหรับยอดขายที่เพิ่มขึ้นในไตรมาสนี้ เป็นผลมาจากการดำเนินงานที่ดีของธุรกิจที่บริษัทได้เข้าซื้อกิจการเมื่อปี ที่แล้ว (เมอร์อไลอันซ์, คิงออสการ์, โอไรออนซีฟู้ด) ส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นของธุรกิจส่งออกดีขึ้น นอกจากนี้การบริหารจัดการด้านต้นทุนที่ดีในขณะที่ราคาวัตถุดิบปรับตัวขึ้นใน ช่วงไตรมาสสาม จึงทำให้อัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน

ส่วนกำไรสุทธิไตรมาสนี้ เพิ่มขึ้น 15 เปอร์เซนต์ เมื่อเทียบกับไตรมาสที่แล้ว ซึ่งกำไรสุทธิที่ดีขึ้นนี้สะท้อนถึง ความแข็งแกร่งในการดำเนินธุรกิจ แม้ว่าการแข่งขันในตลาดโลกจะมีความรุนแรงท้าทายต่อเนื่อง แต่บริษัทยังคงสามารถเติบโตได้ในสภาวการณ์เช่นนี้ นอกจากนี้ด้วยความมุ่งมั่นของผู้บริหารที่สร้างความมั่นคงทางการเงินให้กับ บริษัท ด้วยการบริหารทรัพย์สินอย่างรัดกุมและเข้มงวด ทำให้สามารถสร้างกระแสเงินสดที่มากขึ้นอย่างต่อเนื่อง สร้างเงินทุนหมุนเวียนมากขึ้น ทำให้หนี้สิ้นต่อทุนลดลงอย่างต่อเนื่อง จาก 0.85 เท่าเมื่อช่วงสิ้นปีที่ผ่านมา โดยมาอยู่ที่ 0.64 เท่าในไตรมาสนี้

ในไตรมาสสามนี้ สัดส่วนยอดขายหลักของบริษัทมาจากผลิตภัณฑ์ปลาทูน่า ร้อยละ 37 ของยอดขายผลิตภัณฑ์ทั้งหมด กลุ่มธุรกิจกุ้งและธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับกุ้ง ร้อยละ 29 กลุ่มธุรกิจปลาแซลมอน ร้อยละ 9 กลุ่มธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง ร้อยละ 7 กลุ่มธุรกิจปลาซาร์ดีนและปลาแมคเคลเรล ร้อยละ 6 และกลุ่มธุรกิจผลิตภัณฑ์มูลค่าเพิ่มและผลิตภัณฑ์อื่นๆ ร้อยละ 13 ธุรกิจกุ้งมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องในไตรมาสนี้ เกิดจากธุรกิจล๊อบสเตอร์ของโอไรออนซีฟู้ด

ขณะที่สัดส่วนยอดขายแบ่งตามตลาดมีดังนี้ ตลาดสหรัฐอเมริกา มีสัดส่วนร้อยละ 42 ของตลาดส่งออกทั้งหมดทั่วโลก ตลาดยุโรปร้อยละ 30 ตลาดในประเทศร้อยละ 9 ตลาดญี่ปุ่นร้อยละ 7 และตลาดอื่นๆ ร้อยละ 13

สำหรับภาพรวมผลการดำเนินงานใน 9 เดือนแรกนั้น บริษัทมียอดขายเท่ากับ 91.9 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.6 เปอร์เซนต์ เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 9 เดือนแรกเท่ากับ 4.5 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.5 เปอร์เซนต์ เมื่อเทียบกับช่วง 9 เดือนแรกของปีก่อน ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นในช่วง 9 เดือนแรกเท่ากับ 16.1 เปอร์เซนต์

นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ ทียู กล่าวว่า “มีความพึงพอใจอย่างมากกับผลการดำเนินงานในไตรมาสสามนี้ ธุรกิจของเรามีการเติบโตอย่างต่อเนื่องทั้งธุรกิจส่งออกและธุรกิจจากต่าง ประเทศเป็นไปตามกลยุทธ์ที่เราตั้งไว้ รวมทั้งในไตรมาสนี้เราสามารถทำอัตรากำไรขั้นต้นในระดับที่สูงถึง 17.3 เปอร์เซนต์ ซึ่งเป็นระดับที่สูงที่สุดในรอบ 4 ปีที่ผ่านมา อีกทั้งการที่อัตราหนี้สินต่อทุนของเราลดลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงสิ้นปี ที่ผ่านมา ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ 0.64 เท่า ย่อมสะท้อนให้เห็นว่า เรายังมีวินัยในการบริหารจัดการด้านการเงินที่ดีอย่างต่อเนื่อง

นอกจากนี้ธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงในประเทศสหรัฐอเมริกาที่เพิ่งฟื้นตัว กลับมาก็ทำผลงานดีในไตรมาสนี้ด้วยเช่นกัน จากผลการดำเนินงานที่ออกมานี้ ยังแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการดำเนินงานที่แข็งแกร่งของบริษัท แม้ว่าจะต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่ท้าทายต่างๆ มากมายในอุตสาหกรรม รวมถึงค่าเงินและสภาวการณ์ตลาดโลกที่มีการแข่งขันอย่างรุนแรง

สำหรับกลยุทธ์การสร้างการเติบโตของเรา ยังคงมุ่งเน้นการเติบโตจากธุรกิจภายใน (Organic Growth) จากกลุ่มผลิตภัณฑ์หลักต่างๆ ด้วยการสร้างมูลค่าผลิตภัณฑ์และสร้างสรรค์นวัตกรรมทางอาหาร รวมทั้งการหาตลาดใหม่ เช่น กลุ่มตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market) และกลุ่มธุรกิจการให้บริการด้านอาหาร (Food Service) เป็นต้น วิสัยทัศน์ของเราคือ การเป็นผู้นำด้านอาหารทะเลที่ได้รับความไว้วางใจ ดูแลปกป้องและใส่ใจในทรัพยากรท้องทะเล อีกทั้งยังมุ่งมั่นที่ป้องกันคนของเราและบุคคลที่เกี่ยวข้องในอุตสาหกรรม ประมง เพื่อความยั่งยืนของอุตสาหกรรรมอย่างต่อเนื่องในฐานะที่เป็นพลเมืองที่มี ความรับผิดชอบต่อประชากรโลก

ล่าสุดไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป ได้เข้าซื้อหุ้นคืนจากผู้ถือหุ้นเดิมของบริษัท ไทยรวมสินพัฒนาอุตสาหกรรม จำกัด และบริษัท สงขลาแคนนิ่ง จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นบริษัทย่อย ทำให้สัดส่วนการถือหุ้นใหม่เป็นร้อยละ 99.66 และร้อยละ 99.55 ตามลำดับ สำหรับราคาที่ซื้อหุ้นของทั้ง 2 บริษัทนี้ เป็นราคาที่ต่ำกว่าอัตราส่วนราคาต่อกำไร (P/E) ของบริษัทที่อยู่ในอุตสาหกรรมเดียวกันในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ซึ่งประโยชน์ที่ผู้ถือหุ้นไทยยูเนี่ยนจะได้รับคือ การรับรู้รายได้และผลกำไรที่เพิ่มขึ้น