ไทยยูเนี่ยนประกาศยอดขายไตรมาสที่ 3 ประจำปี 2559 แตะ 1 พันล้านเหรียญสหรัฐ ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์เพิ่มขึ้น 7.7 เปอร์เซ็นต์

  • กำไรสุทธิไตรมาสที่ 3 ประจำปี 2559 เท่ากับ 1,594 ล้านบาท ลดลง 1.9 เปอร์เซ็นต์ จากระยะเวลาเดียวกันของปีก่อน
  • ยอดขายไตรมาสที่ 3 ประจำปี 2559 เท่ากับ 35,128 ล้านบาท (1 พันล้านเหรียญสหรัฐ) เพิ่มขึ้น 7.7 เปอร์เซ็นต์ จากระยะเวลาเดียวกันของปีก่อน
  • ผลกำไรยังคงแข็งแกร่ง แม้ว่าอัตรากำไรขั้นต้นลดลง เนื่องจากต้นทุนวัตถุดิบ

7 พฤศจิกายน 2559, กรุงเทพฯ - บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด มหาชน รายงานยอดขายรวมของกลุ่มบริษัท ในไตรมาสที่ 3 ประจำปี 2559 เพิ่มขึ้น 7.7 เปอร์เซ็นต์ จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน สามารถทำยอดขายรวมสูงสุดเป็นประวัติการณ์ได้ถึง 35,128 ล้านบาท หรือ 1 พันล้านเหรียญสหรัฐในไตรมาสนี้ นับเป็นไตรมาสที่สองติดต่อกันที่ไทยยูเนี่ยนกรุ๊ป สามารถรายงานยอดขายสูงสุดเป็นประวัติการณ์

กำไรขั้นต้นลดลง 12.4 เปอร์เซ็นต์ในไตรมาสที่สามของปีนี้ ในขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นเท่ากับ 14.1 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับ 17.3 เปอร์เซ็นต์ซึ่งเป็นอัตรากำไรขั้นต้นในไตรมาสที่ 3 ปี 2558 ในไตรมาสนี้ กำไรขั้นต้นและอัตรากำไรขั้นต้นที่ลดลงเป็นผลมาจากวัตถุดิบปลาแซลมอนมีราคาสูงต่อเนื่อง และราคาวัตถุดิบปลาทูน่าที่สูงกว่าที่คาดไว้ ในขณะที่มีผลขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยนเท่ากับ 30 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม การควบคุมต้นทุนต่าง ๆ อย่างเข้มงวด มีส่วนช่วยลดผลกระทบจากราคาวัตถุดิบที่สูงและผลขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยนดังกล่าว ทำให้อัตราค่าใช้จ่ายในการขายและการบริหารต่อยอดขายเท่ากับ 8.7 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งเป็นระดับที่ต่ำที่สุดในรอบ 4 ปี รวมทั้งเป็นผลกระทบที่ไม่เกี่ยวกับการดำเนินงาน ดังนั้น กำไรสุทธิยังคงอยู่ในระดับคงที่ ลดลงเพียง 1.9 เปอร์เซ็นต์ จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา และกำไรสุทธิรวมทั้งสิ้น 1,594 ล้านบาท

ในช่วงระยะเวลา 9 เดือนที่ผ่านมา (เดือนมกราคมถึงเดือนกันยายน 2559) ยอดขายในสหรัฐอเมริกายังคงมีบทบาทสำคัญต่อรายได้ของบริษัทอย่างต่อเนื่อง คิดเป็น 39 เปอร์เซ็นต์ของยอดขายทั้งหมด ตลาดในประเทศคิดเป็น 8 เปอร์เซ็นต์ของยอดขายทั้งหมด ในขณะที่ตลาดยุโรปคิดเป็น 33 เปอร์เซ็นต์ของยอดขายทั้งหมด เพิ่มขึ้นจาก 29.4 เปอร์เซ็นต์ในปี 2558 ทั้งปี ยอดขายในญี่ปุ่นคิดเป็น 6 เปอร์เซ็นต์ของยอดขายทั้งหมด

นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป กล่าวว่าจากตัวเลขยอดขายใน ไตรมาสนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความต้องการผลิตภัณฑ์ของเราที่มีอยู่สูง ถึงแม้ว่าสถานการณ์ของตลาดยังมีความท้าทายในเรื่องวัตถุดิบและสภาพเศรษฐกิจที่ไม่ดีอย่างต่อเนื่องในตลาดหลากหลายแห่งทั่วโลก ถึงแม้สถานการณ์จะเป็นเช่นนั้น เรายังสามารถทำกำไรได้อย่างแข็งแกร่ง แม้จะมีข้อจำกัดด้านตลาดมากยิ่งขึ้น

ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2559 ยอดขายจากแบรนด์ของไทยยูเนี่ยนยังคงที่เช่นเดิมคือคิดเป็น 43 เปอร์เซ็นต์ของยอดขายทั้งหมด ที่เหลือมาจากธุรกิจรับจ้างผลิต สำหรับยอดขายธุรกิจอาหารทะเลแช่เยือกแข็งและแช่เย็นประจำไตรมาสที่ 3 ปี 2559 เพิ่มขึ้นถึง 15.1 พันล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 14.7 เปอร์เซ็นต์จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ยอดขายที่เพิ่มขึ้นเป็นผลมาจากการรวมกิจการของเชซ์ นูส์ (Chez Nous) เข้าเป็นส่วนหนึ่งของไทยยูเนี่ยนในไตรมาสที่ 3 นอกจากนี้การส่งออกกุ้งของบริษัทดีขึ้น รวมทั้งการรวมรายได้จาก รูเก้น ฟิช (Rugen Fisch) ในประเทศเยอรมนี นอกจากนี้ยอดขายจากสินค้าอาหารสัตว์เลี้ยงและสินค้ามูลค่าเพิ่ม ก็เพิ่มขึ้น 5,257 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 28.3 เปอร์เซ็นต์ จากปีที่แล้ว

ในเดือนตุลาคมนี้ ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป ได้ลงทุนเชิงกลยุทธ์ใน เรด ล็อบสเตอร์ ซึ่งเป็นเครือข่ายภัตตาคารอาหารทะเลที่ใหญ่ที่สุดในโลก คิดเป็นมูลค่าประมาณ 575 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยไทยยูเนี่ยนถือหุ้น 25 เปอร์เซ็นต์ของบริษัท และถือเป็นหน่วยลงทุนหุ้นบุริมสิทธิอายุ 10 ปีที่สามารถเปลี่ยนเป็นหุ้นสามัญได้อีก 24 เปอร์เซ็นต์ในอนาคต การลงทุนนี้ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากฝ่ายบริหารและพนักงานของ เรด ล็อบสเตอร์ และได้รับกระแสตอบรับเชิงบวกจากนักวิเคราะห์อีกด้วย นอกจากนี้ บริษัทยังซื้อเพิ่ม (หุ้นส่วนน้อย) ประมาณ 18 เปอร์เซ็นต์ของบริษัทในเครือ ชิคเก้น ออฟ เดอะ ซี โฟรเซ่นฟู้ดส์ (Chicken of the Sea Frozen Foods) ส่งผลให้ปัจจุบันไทยยูเนี่ยนกรุ๊ป ถือหุ้น 100 เปอร์เซ็นต์เต็มในบริษัทดังกล่าว

ในช่วงไตรมาสที่ 3 ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป ยังได้รับการคัดเลือกให้เข้าชิง รางวัล Stop Slavery Award ของมูลนิธิทอมป์สัน รอยเตอร์ (Thompson Reuters Foundation) อีกด้วย นอกจากนี้บริษัทยังได้รับการคัดเลือกให้เป็นสมาชิก Dow Jones Sustainability Index ต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 ติดต่อกัน

เกี่ยวกับ บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด มหาชน

บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เป็นผู้นำธุรกิจอาหารทะเลโลก ซึ่งส่งมอบผลิตภัณฑ์อาหารทะเลที่มีนวัตกรรม รสชาติดี มีประโยชน์ต่อสุขภาพ และมีคุณภาพสูงให้กับผู้บริโภคทั่วโลกมาเป็นเวลาเกือบ 40 ปี วันนี้ บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป ได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้ผลิตผลิตภัณฑ์ปลาทูน่าบรรจุภาชนะชนิดต่าง ๆ ที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยมียอดขายต่อปีมากกว่า 1.25 แสนล้านบาท (3.7 พันล้านเหรียญสหรัฐ) และมีพนักงานทั่วโลกรวมกันมากกว่า 46,000 คน ซึ่งล้วนทุ่มเทเพื่อผลิตภัณฑ์อาหารทะเลที่มีนวัตกรรม และมีความยั่งยืน

ไทยยูเนี่ยนเป็นเจ้าของแบรนด์ทั่วโลก ประกอบด้วย ประกอบด้วย แบรนด์ที่เป็นผู้นำตลาดโลกอย่าง Chicken of the Sea, John West, Petit Navire, Parmentier, Mareblu ,King Oscar, และ Rügen Fisch รวมทั้งแบรนด์ชั้นนำในประเทศไทย ได้แก่ ซีเล็ค ฟิชโช่ เบลลอตต้า และมาร์โว่

จากพันธกิจในการเป็นบริษัทแห่งนวัตกรรมและดำเนินงานด้วยความรับผิดชอบทั่วโลก ไทยยูเนี่ยนภูมิใจที่ได้เป็นหนึ่งในภาคีข้อตกลงโลกแห่งสหประชาชาติ (United Nations Global Compact) และเป็นผู้ร่วมก่อตั้งมูลนิธิเพื่อความยั่งยืนของอาหารทะเลสากล (International Seafood Sustainability Foundation -ISSF) ในปี 2558 ไทยยูเนี่ยนเปิดตัวกลยุทธ์ด้านความยั่งยืน SeaChange® และดำเนินการในเรื่องดังกล่าวอย่างต่อเนื่องเรื่องมาโดยตลอดในเรื่องดังกล่าว จนส่งผลโดยรวมให้ไทยยูเนียนได้รับการคัดเลือกให้เป็นสมาชิกของดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์ (Dow Jones Sustainability Indices หรือ DJSI) สำหรับตลาดเกิดใหม่มาตั้งแต่ปี 2557 และในปี 2559 ไทยยูเนี่ยนได้รับเลือกให้เป็นสมาชิกของ DJSI เป็นปีที่สามติดต่อกัน https://seachangesustainability.org/.