ไทยยูเนี่ยนเปิดผลรายงานความยั่งยืน 2565 โชว์ความคืบหน้าพร้อมกรอบการทำงานภายใต้กลยุทธ์ SeaChange® 2030

กรุงเทพมหานคร – 2 สิงหาคม 2566 – บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ได้เผยแพร่รายงานความยั่งยืนประจำปี 2565 พร้อมรายละเอียดความคืบหน้าที่เกิดขึ้นในระหว่างปี และวางกรอบการทำงานโดยละเอียดของกลยุทธ์ความยั่งยืน SeaChange® 2030 ที่ตั้งเป้าหมายไปจนถึงปี 2573 ด้วยการตั้งงบประมาณสำหรับการดำเนินงานถึง 7,200 ล้านบาท หรือ 200 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยตั้งเป้าหมายที่ท้าทายเพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับห่วงโซ่มูลค่าธุรกิจอาหารทะเลทั้งโลก

รายงานความยั่งยืนฉบับนี้มีการรายงานข้อมูลเชิงลึกของไทยยูเนี่ยนในการผลักดันความเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นในการดำเนินธุรกิจของบริษัท และอุตสาหกรรมอาหารทะเลของโลกในปี 2565 เป็นการทำงานในฐานะหนึ่งในบริษัทอาหารทะเลชั้นนำและผู้ผลิตปลากระป๋องปลาทูน่าที่ใหญ่ที่สุดของโลก

นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ที่ไทยยูเนี่ยน เราตั้งเป้าหมายที่จะเป็นผู้นำธุรกิจอาหารทะเลที่ผู้คนทั่วโลกเชื่อถือมากที่สุด และเพื่อที่จะบรรลุเป้าหมายดังกล่าว เราต้องเดินหน้าไปสู่การเป็นผู้นำอุตสาหกรรม และรายงานฉบับนี้แสดงให้เห็นว่าไทยยูเนี่ยนมีการพัฒนาและดำเนินโครงการและกิจกรรมต่างๆ ที่ช่วยเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมอาหารทะเลไปในทางที่ดีขึ้น เราตระหนักดีว่ายังมีเรื่องให้ฟันฝ่าอีกมาก แต่เรามีความมุ่งมั่นที่จะสานต่อในเรื่องความยั่งยืน ดังจะเห็นได้ว่าเมื่อเดือนที่แล้วเราได้ประกาศกลยุทธ์ความยั่งยืน SeaChange® อีกครั้งโดยเป้าหมายใหม่ถึงปี 2573”

สำหรับผลงานด้านความยั่งยืนที่โดดเด่นในช่วงปี 2565 ของไทยยูเนี่ยน อาทิ

  • เริ่มใช้หลักการ Employer Pays Principle ซึ่งนายจ้างจะเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการสรรหาทั้งหมดเพื่อให้แน่ใจว่าแรงงานจะไม่ต้องจ่ายเงินเพื่อให้ได้ทำงาน
  • มีการส่งเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกที่อิงหลักวิทยาศาสตร์ทั้งระยะสั้นและระยะยาวให้องค์กร Science Based Targets Initiative เพื่อตรวจสอบและอนุมัติ
  • ร่วมมือกับองค์กร Sustainable Fisheries Partnership เพื่อพัฒนาด้านความโปร่งใสในห่วงโซ่อุปทานของไทยยูเนี่ยน
  • จัดทำการตรวจประเมินสภาพการทำงานและสวัสดิภาพของแรงงานบนเรือเบ็ดราว
  • เผยแพร่รายงาน Task Force on Climate-related Financial Disclosures (TCFD) หรือ คณะทำงานเพื่อพัฒนากรอบการเปิดเผยข้อมูลความเสี่ยงทางการเงินที่เกี่ยวข้องกับสภาพภูมิอากาศ ของบริษัทเป็นครั้งแรก
  • ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในขอบเขตที่ 1 และ 2 ลง 7 เปอร์เซ็นต์ในปี 2565 เมื่อเทียบกับปี 2564
  • เพิ่มการรับซื้อปลาทูน่าจากเรือประมงที่มีอุปกรณ์ตรวจสอบอิเล็กทรอนิก และมีผู้สังเกตุการณ์ จาก 71 เปอร์เซ็นต์ในปี 2564 เป็น 79 เปอร์เซ็นต์

นายอดัม เบรนนัน ผู้อำนวยการกลุ่มด้านการพัฒนาที่ยั่งยืน บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “เราภูมิใจกับความคืบหน้าในการทำงานด้านความยั่งยืนในปีที่ผ่านมา และรายงานความยั่งยืนฉบับนี้ยังระบุในรายละเอียดของการทำงานในแต่ละด้านว่าได้ผลตามตัวบ่งชี้และเป้าหมายอย่างไรบ้าง นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังพร้อมเดินหน้ากับกลยุทธ์ความยั่งยืน SeaChange® 2030 และ 11 พันธกิจที่เป้าหมายต่างๆ จะช่วยให้เราสามารถเดินหน้าสร้างความเปลี่ยนแปลงที่ดีให้กับผู้คนและโลกของเราได้”

โดยผลงานด้านความยั่งยืนในปีที่ผ่านมาของไทยยูเนี่ยน ได้รับการยอมรับในระดับสากล ตั้งแต่ได้รับการจัดอันดับโดย ดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์ หรือ DJSI เป็นปีที่ 9 ติดต่อกัน และได้รับการจัดอันดับเป็นที่ 1 ของโลกในกลุ่มอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์อาหาร และได้คะแนนสูงสุดและได้รับคัดเลือกจาก S&P Global ให้อยู่ใน The Sustainability Yearbook 2023 ซึ่งมีแค่ 1% จากกว่า 7,800 องค์กรเท่านั้น นอกจากนี้ไทยยูเนี่ยนยังได้รับการคัดเลือกให้ติดอันดับดัชนี FTSE4Good Emerging Index เป็นปีที่ 7 ติดต่อกัน

สามารถดาวน์โหลดรายงานความยั่งยืนไทยยูเนี่ยนได้ที่นี่

###

เกี่ยวกับ บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)

บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เป็นผู้นำด้านอาหารทะเลระดับโลกที่นำผลิตภัณฑ์อาหารทะเลคุณภาพสูง ดีต่อสุขภาพ อร่อย และสร้างสรรค์ มาสู่ลูกค้าทั่วโลกมาเป็นกว่า 46 ปี

ปัจจุบัน ไทยยูเนี่ยนถือได้ว่าเป็นหนึ่งในผู้ผลิตอาหารทะเลชั้นนำของโลกและเป็นหนึ่งในผู้ผลิตปลาทูน่าในบรรจุภัณฑ์ชนิดต่างๆ ที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยมียอดขายต่อปีเกินกว่า 155,586 ล้านบาท (4,438 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) และแรงงานทั่วโลกกว่า 44,000 คน ที่ทุ่มเทให้กับการบุกเบิกผลิตภัณฑ์อาหารทะเลที่สร้างสรรค์และยั่งยืน

ปัจจุบันไทยยูเนี่ยนเป็นเจ้าของแบรนด์ทั่วโลก ประกอบด้วย แบรนด์ที่เป็นผู้นำตลาดโลกอย่าง Chicken of the Sea, John West, Petit Navire, Parmentier, Mareblu, King Oscar, Hawesta และ Rügen Fisch รวมทั้งแบรนด์ชั้นนำในประเทศไทย ได้แก่ ซีเล็ค ฟิชโช คิวเฟรช โมโนริ OMG MEAT เบลลอตต้า และมาร์โว่ นอกจากนี้ยังมีส่วนประกอบอาหารภายใต้แบรนด์ UniQ®BONE และ UniQ®DHA และผลิตภัณฑ์อาหารเสริมเพื่อสุขภาพแบรนด์ ZEAvita

ไทยยูเนี่ยนมีเป้าหมายเพื่อสร้าง "การมีสุขภาพที่ดี และท้องทะเลที่อุดมสมบูรณ์, Healthy Living, Healthy Oceans" โดยให้ความสำคัญกับสุขภาพผู้คน ควบคู่ไปกับการอนุรักษ์ท้องทะเล เราภาคภูมิใจในการเป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลงโลกแห่งสหประชาชาติ (United Nations Global Compact: UNGC) พร้อมทั้งเป็นผู้ร่วมก่อตั้งมูลนิธิเพื่อความยั่งยืนของอาหารทะเลสากล (International Seafood Sustainability Foundation: ISSF) และได้รับเกียรติเป็นเป็นประธาน SeaBOS หรือ Seafood Business for Ocean Stewardship ไทยยูเนี่ยนดำเนินงานด้านความยั่งยืนโดยยึดหลักกลยุทธ์ SeaChange® ที่ได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติ จากผลการประเมินงานด้านความยั่งยืนปี 2565 บริษัทได้รับการคัดเลือกให้เป็นสมาชิกของดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์ (Dow Jones Sustainability Indices: DJSI) สำหรับตลาดเกิดใหม่เป็นปีที่ 9 ปีติดต่อกันและได้อันดับ 1 ในกลุ่มอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์อาหารซึ่งไทยยูเนี่ยนเคยได้ในปี 2561 และปี 2562 นอกจากนี้ไทยยูเนี่ยนยังได้รับการคัดเลือกให้ติดอันดับดัชนี FTSE4Good Emerging Index เป็นปีที่ 6 ติดต่อกัน

สามารถอ่านข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการทำงานด้านความยั่งยืนของบริษัทได้ที่ seachangesustainability.org

thaiunion.com