ไทยยูเนี่ยนและ The Nature Conservancy เผยรายงานความโปร่งใสของซัพพลายเชนในการจัดหาปลาทูน่าทั่วโลกฉบับเต็ม

กรุงเทพมหานคร – 12 มกราคม 2566 – บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หนึ่งในบริษัทอาหารทะเลที่ใหญ่ที่สุดของโลก ได้ร่วมกับองค์กรอนุรักษ์ธรรมชาติระดับโลก The Nature Conservancy หรือ TNC เปิดเผยรายงานความคืบหน้าหลังภายหลังร่วมมือในด้านความโปร่งใสของซัพพลายเชนในการจัดหาปลาทูน่าทั่วโลก

นับตั้งแต่เดือนมีนาคม 2564 ไทยยูเนี่ยนและ The Nature Conservancy ได้ประกาศเจตนารมณ์ในการทำงานร่วมกันเพื่อผลักดันและยกระดับอุตสาหกรรมอาหารทะเล โดยจะเห็นได้ว่าสินค้าปลาทูน่าจากไทยยูเนี่ยนมีการจัดหาวัตถุดิบจากเรือประมงที่อนุญาตให้การตรวจสอบประเมินการทำงานในขณะที่เรือประมงออกเดินเรือในท้องทะเล ไทยยูเนี่ยนเองมีกลยุทธ์ด้านความยั่งยืนหรือ SeaChange® ที่ไม่สนับสนุนการประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงานและไร้การควบคุม ซึ่งความร่วมมือในครั้งนี้จะช่วยแสดงให้เห็นว่ามีการรายงานและการปฎิบัติตามกฎหมายอย่างถูกต้อง

ระหว่างปีแรกในการทำงานร่วมกันนั้น ทั้งไทยยูเนี่ยนและ The Nature Conservancy ได้บรรลุเป้าหมายต่าง ๆ ดังนี้

  • เป็นครั้งแรกของอุตสาหกรรมอาหารทะเลที่มีการใช้ระบบดิจิทัลในการตรวจสอบเรือประมงของคู่ค้าในซัพพลายเชน ตามมาตรฐานทางเทคนิค ข้อมูลและการออกแบบของไทยยูเนี่ยน รวมถึงมีการปรับปรุงเรือประมงของคู่ค้าในซัพพลายเชนอย่างต่อเนื่อง
  • ไทยยูเนี่ยนยังขยายการใช้ระบบดิจิทัลในการตรวจสอบไปยังเรือประมงที่จัดหาวัตถุดิบให้กับธุรกิจของกลุ่ม สร้างมาตรฐานในการตรวจสอบซึ่งจะรวมอยู่ในรายงานประจำปี โดยในปี 2564 เรือประมงของคู่ค้าที่จัดหาวัตถุดิบปลาทูน่าให้กับไทยยูเนี่ยนมากถึง 71 เปอร์เซ็นต์นั้นได้รับการตรวจสอบและสังเกตุการณ์ผ่านระบบออนไลน์หรืออยู่บนเรือขณะปฏิบัติงานจริง ซึ่งเรือประมงเหล่านี้จะได้รับการตรวจสอบต่อเนื่องและมีการรายงานอีกครั้งในปีหน้า แผนการในการติดตั้งเครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์เพื่อการตรวจสอบบนเรือประมงเบ็ดราว จำนวน 240 ลำ ที่มาจากบริษัทจัดหาวัตถุดิบ 5 บริษัทในมหาสมุทรแปซิฟิก แอตแลนติก และอินเดีย ได้เสร็จสิ้นแล้ว และแผนการดังกล่าวมีการดำเนินทั้งหมดในปี 2566 นี้
  • มีการเปิดตัวโครงการใหม่ ๆ เพื่อขยายการใช้ระบบดิจิทัลในการตรวจสอบการถ่ายลำ และใช้ระบบดังกล่าวนี้ในการดูแลเรื่องสิทธิมนุษยชนบนเรือประมง
  • ไทยยูเนี่ยนและ The Nature Conservancy ได้ร่วมกันทำงานกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียต่าง ๆ ตลอดห่วงโซ่อุปทาน รวมถึงสนับสนุนให้มีการทำประมงที่ถูกต้องตามสำนักงานคณะกรรมการรับรองมาตรฐานสินค้าประมงหรือ Marine Stewardship Council (MSC) Fisheries และร่วมในภาคีต่าง ๆ อาทิ International Seafood Sustainability Foundation และ Global Tuna Alliance
  • ไทยยูเนี่ยนและ The Nature Conservancy ได้มีการรณรงค์ให้เห็นถึงความสำคัญของการตรวจสอบผ่านองค์กรต่าง ๆ อาทิ Inter-American Tropical Tuna Commission (IATTC) และ Indian Ocean Tuna Commission (IOTC).
  • ไทยยูเนี่ยนยังมีความร่วมมือและกลยุทธ์ด้านเทคโนโลยีกับบริษัทชั้นนำต่าง ๆ ในระยะเวลาหลายปีเพื่อให้เกิดการใช้ AI หรือเครื่องจักรในการเรียนรู้กระบวนการการตรวจสอบผ่านระบบดิจิทัล

ในปี 2566 นี้ จะมีการมุ่งเน้นไปที่การดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง เพิ่มการตรวจสอบให้ครอบคลุม รณรงค์ให้เกิดการสนับสนุนให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในวงกว้าง ใช้การตรวจสอบสังเกตการณ์การด้วยระบบดิจิทัลในแง่มุมทางสังคมอื่น ๆ ของความยั่งยืน รวมถึงการนำเทคโนโลยีที่จะสามารถนำไปใช้โดยกว้างขวางได้

เจนนิเฟอร์ มอร์ริส ประธานกรรมการองค์กร The Nature Conservancy กล่าวว่า “ท้องทะเลทั่วโลกกำลังวิกฤต ทั้งจากภาวะโลกร้อน การประมงที่เกินขีดจำกัด และมลพิษต่าง ๆ ทำให้ชุมชนชายฝั่งและแหล่งอาหารของโลกตกอยู่ในความเสี่ยง ซึ่งความโปร่งใสในซัพพลายเชนที่เพิ่มขึ้นในการประมงทั่วโลกจากการตรวจสอบด้วยระบบดิจิทัล นับเป็นวิธีการที่ทรงพลังในการพัฒนาการจัดการด้านการประมงให้มีความน่าไว้วางใจได้ ปีแรกที่เราได้ร่วมงานกับไทยยูเนี่ยนนั้นมีความก้าวหน้าอย่างมากในการเพิ่มความโปร่งใสให้กับซัพพลายเชนในการจัดหาปลาทูน่าทั่วโลก”

นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ความร่วมมือในครั้งนี้นับเป็นตัวอย่างอันดีที่แสดงให้เห็นว่าหากองค์กรขนาดใหญ่ให้ความสำคัญและร่วมมือกันจะสามารถหาวิธีทำให้ท้องทะเลของเรายั่งยืนเพื่อคนรุ่นต่อไป จากรายงานฉบับนี้ผมภูมิใจและเชื่อว่าไทยยูเนี่ยนและ The Nature Conservancy จะสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงด้านความโปร่งใสในซัพพลายเชนและเพิ่มการตรวจสอบด้วยระบบดิจิทัล”

สามารถอ่านรายงานฉบับเต็มได้ที่: Thai Union and The Nature Conservancy Partnership Progress Review: Year-1 Public Report

เกี่ยวกับ The Nature Conservancy

องค์กรอนุรักษ์ธรรมชาติชั้นนำที่ทำงานทั่วโลกเพื่อปกป้องดินแดนและน่านน้ำที่มีความสำคัญทางนิเวศวิทยาสำหรับธรรมชาติและผู้คน วิธีการของ Conservancy มีรากฐานมาจากวิทยาศาสตร์และได้รับแรงผลักดันจากแนวทางการแก้ปัญหาเชิงปฏิบัติเพื่อการอนุรักษ์ที่เร่งด่วนที่สุดในระดับที่ใหญ่ที่สุด เรายังจัดการกับปัญหาสภาพอาหาร อนุรักษ์ดิน น้ำ และมหาสมุทร รวมไปถึงการจัดหาอาหารและน้ำอย่างยั่งยืน และช่วยให้เมืองต่าง ๆ ยั่งยืนมากขึ้น ปัจจุบัน TNC ทำงานใน 72 ประเทศทั่วโลก โดยได้รับความร่วมมือจากชุมชน รัฐบาลและภาคเอกชน สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม สามารถเยี่ยมชมได้ที่ www.nature.org ติดตามเราได้ที่ @nature_press บนทวิตเตอร์

เกี่ยวกับ บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)

บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เป็นผู้นำด้านอาหารทะเลระดับโลกที่นำผลิตภัณฑ์อาหารทะเลคุณภาพสูง ดีต่อสุขภาพ อร่อย และสร้างสรรค์ มาสู่ลูกค้าทั่วโลกมาเป็นกว่า 45 ปีปัจจุบัน ไทยยูเนี่ยนถือได้ว่าเป็นหนึ่งในผู้ผลิตอาหารทะเลชั้นนำของโลกและเป็นหนึ่งในผู้ผลิตปลาทูน่าในบรรจุภัณฑ์ชนิดต่างๆ ที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยมียอดขายต่อปีเกินกว่า 141,000 ล้านบาท (4,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) และแรงงานทั่วโลกกว่า 44,000 คน ที่ทุ่มเทให้กับการบุกเบิกผลิตภัณฑ์อาหารทะเลที่สร้างสรรค์และยั่งยืน

ไทยยูเนี่ยนเป็นเจ้าของแบรนด์ทั่วโลก ประกอบด้วย แบรนด์ที่เป็นผู้นำตลาดโลกอย่าง Chicken of the Sea, John West, Petit Navire, Parmentier, Mareblu, King Oscar, Hawesta และ Rügen Fisch รวมทั้งแบรนด์ชั้นนำในประเทศไทย ได้แก่ ซีเล็ค ฟิชโช คิวเฟรช โมโนริ OMG MEAT เบลลอตต้า และมาร์โว่ นอกจากนี้ยังมีส่วนประกอบอาหารภายใต้แบรนด์ UniQ®BONE และ UniQ®DHA และผลิตภัณฑ์อาหารเสริมเพื่อสุขภาพแบรนด์ ZEAvita

ไทยยูเนี่ยนมีเป้าหมายเพื่อสร้าง "การมีสุขภาพที่ดี และท้องทะเลที่อุดมสมบูรณ์, Healthy Living, Healthy Oceans" โดยให้ความสำคัญกับสุขภาพผู้คน ควบคู่ไปกับการอนุรักษ์ท้องทะเล เราภาคภูมิใจในการเป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลงโลกแห่งสหประชาชาติ (United Nations Global Compact: UNGC) พร้อมทั้งเป็นผู้ร่วมก่อตั้งมูลนิธิเพื่อความยั่งยืนของอาหารทะเลสากล (International Seafood Sustainability Foundation: ISSF) และได้รับเกียรติเป็นเป็นประธาน SeaBOS หรือ Seafood Business for Ocean Stewardship ไทยยูเนี่ยนดำเนินงานด้านความยั่งยืนโดยยึดหลักกลยุทธ์ SeaChange® ที่ได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติ จากผลการประเมินงานด้านความยั่งยืนปี 2565 บริษัทได้รับการคัดเลือกให้เป็นอันดับ 1 ในกลุ่มอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์อาหารของโลก จากดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์ (DJSI) เป็นสมาชิก DJSI สำหรับตลาดเกิดใหม่เป็นปีที่ 9 ปีติดต่อกัน นอกจากนี้ไทยยูเนี่ยนยังได้รับการคัดเลือกให้ติดอันดับดัชนี FTSE4Good Emerging Index เป็นปีที่ 6 ติดต่อกัน

สามารถอ่านข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการทำงานด้านความยั่งยืนของบริษัทได้ที่ seachangesustainability.org