ไทยยูเนี่ยน เผยโครงการตามข้อตกลงร่วมกับกรีนพีซเพื่อมุ่งสู่ธุรกิจอาหารทะเลที่ยั่งยืนและมีความรับผิดชอบต่อสังคม คืบหน้าเป็นที่น่าพอใจ
บรรยายภาพ: ภาพฝูงปลาแมคเคอเรลกำลังว่ายน้ำ
(เครดิตภาพ: Stock Photo-Graf /Shutterstock.com/Number 24)
23 พฤษภาคม 2561 กรุงเทพฯ — บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เผยการดำเนินงานร่วมกับกรีนพีซตามข้อตกลงที่ลงนามร่วมกันมีความคืบหน้าเป็นที่น่าพอใจ ทั้งด้านมาตรการแก้ไขการทำประมงที่ผิดกฎหมายและการทำประมงที่มากเกินไป รวมถึงการปรับปรุงคุณภาพชีวิตของแรงงานหลายแสนคนตลอดทั้งห่วงโซ่อุปทาน
ข้อตกลงระหว่างไทยยูเนี่ยนและกรีนพีซเกิดขึ้นในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2560 โดยไทยยูเนี่ยนให้คำมั่นในการดำเนินการตาม SeaChange® กลยุทธ์ความยั่งยืนของบริษัท ซึ่งครอบคลุมถึงความพยายามในการสนับสนุนการประมงตามแนวปฏิบัติที่ดี การปรับปรุงการประมงในด้านอื่นๆ การลดการกระทำที่ผิดกฎหมาย และขาดจริยธรรมในห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก และใช้วัตถุดิบปลาทูน่าที่มาจากการประมงที่มีความรับผิดชอบในตลาดหลักๆ มากขึ้น
“ไทยยูเนี่ยนกำลังทำงานอย่างหนักเพื่อผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกในหลายๆ ส่วนของอุตสาหกรรมอาหารทะเล ข้อตกลงร่วมกันดังกล่าว เป็นพันธกิจต่างๆ ที่ท้าทายในการขับเคลื่อนการปรับปรุงห่วงโซ่อุปทานของไทยยูเนี่ยนเพื่อประโยชน์ต่อท้องทะเลของเราและชีวิตสัตว์น้ำ และต่อสิทธิของแรงงานที่ทำงานในอุตสาหกรรมอาหารทะเล มีงานอีกมากมายที่ยังต้องทำ แต่เห็นได้อย่างชัดเจนว่าบริษัทดำเนินการตามพันธกิจอย่างจริงจังและมีความคืบหน้าอย่างแท้จริง” มร. โอลิเวอร์ โนว์ส นักรณรงค์ทางทะเลขององค์กรกรีนพีซ กล่าว “ถึงเวลาแล้วที่บริษัทอื่นๆ จะก้าวออกมาและแสดงความเป็นผู้นำในลักษณะเดียวกัน เพื่อที่เราสามารถขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงมากขึ้นสำหรับปกป้องท้องทะเลและแรงงานในภาคอาหารทะเล”
ดร. แดเรี่ยน แมคเบน ผู้อำนวยการกลุ่มการพัฒนาที่ยั่งยืนของไทยยูเนี่ยน เห็นด้วยกับกรีนพีซในการเรียกร้องให้เกิดความร่วมมือในวงกว้าง “การเปลี่ยนแปลงนี้มีความสำคัญ แต่อย่างไรก็ตาม ไม่มีหน่วยงานใดสามารถทำสำเร็จได้โดยลำพัง ความร่วมมือคือหัวใจสำคัญ ในขณะที่เราขับเคลื่อนไปข้างหน้า องค์กรอื่นๆ ในอุตสาหกรรมสามารถมีส่วนร่วมและช่วยขับเคลื่อนความท้าทายนี้ เราทำในส่วนนี้ผ่านการผลักดันอย่างจริงจังทางการเมือง ผ่านความร่วมมือจากหลายฝ่าย และผ่านความมุ่งมั่นที่แน่วแน่และเด็ดขาด ซึ่งหากเราทำงานร่วมกันแล้ว เราจะไปได้ไกลและเร็วยิ่งขึ้น”
นับตั้งแต่บรรลุข้อตกลงร่วมกัน ไทยยูเนี่ยนได้ดำเนินการและบรรลุผลสำเร็จอย่างมีนัยสำคัญหลายโครงการ ซึ่งประกอบด้วย
- การเปิดตัวแนวปฏิบัติด้านแรงงานบนเรือประมงซึ่งพัฒนาขึ้นจากความร่วมมือกับกรีนพีซและสหพันธ์แรงงานขนส่งระหว่างประเทศ
- การดำเนินโครงการนำร่องนวัตกรรมระบบการตรวจสอบย้อนกลับแบบดิจิทัล เพื่อให้แรงงานบนเรือสามารถสื่อสารได้ในขณะที่ออกทะเล ซึ่งเป็นการส่งเสริมด้านสิทธิมนุษยชนในอุตสาหกรรมอาหารทะเล
- การสนับสนุนกฎกระทรวงคุ้มครองแรงงานในงานประมงทะเลฉบับใหม่ที่กำหนดให้นายจ้างที่มีการเดินเรือออกนอกน่านน้ำไทยจัดเตรียมระบบสื่อสารผ่านดาวเทียมและเครื่องมือสื่อสารให้กับลูกเรือเมื่อออกเดินเรือ ซึ่งเป็นแนวทางลักษณะเดียวกับโครงการนำร่องของบริษัท
- การริเริ่มโครงการผู้สังเกตการณ์แบบออนไลน์กับเรือประมงเบ็ดราวในมหาสมุทรแปซิฟิก
- การออกแนวทางปฏิบัติให้คู่ค้าด้านการจัดการการจับสัตว์พลอยได้
- งานต่อเนื่องในโครงการพัฒนาการประมง และการสนับสนุนการปรับปรุงการจัดการการประมง
- การเข้าร่วมโครงการ Global Ghost Gear Initiative ในการผลักดันเรื่องมลพิษพลาสติกในทะเล และการลดปัญหาการทิ้งซากอุปกรณ์ประมง การสูญเสีย หรือการทิ้งอุปกรณ์ประมงลงในท้องทะเลทั่วโลก
- • การสื่อสารกับคู่ค้าและกองเรือเพื่อลดการใช้อุปกรณ์การทำประมงประเภทซั้ง (FAD) ตามเป้าหมาย และลดจำนวนการใช้อุปกรณ์การทำประมงประเภทซั้งจากกองเรือที่ไทยยูเนี่ยนมีการจัดซื้ออยู่ คู่ค้าของเรามีการใช้อุปกรณ์การทำประมงประเภทซั้งต่ำกว่าจำนวนสูงสุดที่มีการอนุญาตให้ใช้โดยองค์กรจัดการประมงระดับภูมิภาค (RFMOs)
ท่านสามารถดาวน์โหลดรายละเอียดของโครงการต่างๆ ได้จากรายงานความคืบหน้าฉบับนี้
นอกจากนี้ ไทยยูเนี่ยนและกรีนพีซจะยังคงทำงานร่วมกันในการสร้างความยั่งยืนให้กับท้องทะเลและชีวิตสัตว์ในทะเล รวมถึงการคุ้มครองสิทธิมนุษยชน ซึ่งในช่วงปลายปี 2561 หน่วยงานอิสระจากภายนอกจะเข้ามาตรวจสอบและรายงานต่อสาธารณะถึงความคืบหน้าของโครงการต่างๆ ตามที่ได้ให้พันธสัญญาไว้
“ไทยยูเนี่ยนได้ยกระดับและสร้างมาตรฐานใหม่ต่างๆ ให้กับทั้งอุตสาหกรรมอาหารทะเลในการดำเนินตามเพื่อแก้ปัญหาการประมงแบบทำลายล้าง การกดขี่แรงงาน และการปฏิบัติที่ไร้จริยธรรม” มร. โอลิเวอร์ กล่าว “คนหลายแสนคนทั่วโลกที่ต้องการเห็นอุตสาหกรรมอาหารทะเลมีบทบาทยิ่งขึ้นในการขจัดปัญหาเหล่านี้โดยกำลังจับตามองความก้าวหน้าของไทยยูเนี่ยน และพวกเขาคาดหวังให้บริษัทอาหารทะเลอื่นๆ ดำเนินตามผู้นำของเขา เพื่อให้เกิดความมั่นใจว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงกับท้องทะเลอย่างแท้จริง ตอนนี้ถึงเวลาที่บริษัทเหล่านั้นต้องลงมือทำแล้ว”
###
เกี่ยวกับ บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)
บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เป็นผู้นำธุรกิจอาหารทะเลของโลก ซึ่งส่งมอบผลิตภัณฑ์อาหารทะเลที่มีนวัตกรรม รสชาติดี มีประโยชน์ต่อสุขภาพ และมีคุณภาพสูงให้กับผู้บริโภคทั่วโลกมากกว่า 40 ปี
วันนี้ บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป ได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้ผลิตผลิตภัณฑ์ปลาทูน่าบรรจุภาชนะชนิดต่าง ๆ ที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยมียอดขายต่อปีมากกว่า 1.35 แสนล้านบาท (4.03 พันล้านเหรียญสหรัฐ) และมีพนักงานทั่วโลกรวมกันมากกว่า 49,000 คน ซึ่งล้วนทุ่มเทเพื่อผลิตภัณฑ์อาหารทะเลที่มีนวัตกรรมและความยั่งยืน
ไทยยูเนี่ยนเป็นเจ้าของแบรนด์ทั่วโลก ประกอบด้วยแบรนด์ที่เป็นผู้นำตลาดโลกอย่าง Chicken of the Sea, John West, Petit Navire, Parmentier, Mareblu, King Oscar, และ Rügen Fisch รวมทั้งแบรนด์ชั้นนำในประเทศไทย ได้แก่ ซีเล็ค ฟิชโช คิวเฟรช โมโนริ เบลลอตต้า และมาร์โว่
จากพันธกิจในการเป็นบริษัทแห่งนวัตกรรมและดำเนินงานด้วยความรับผิดชอบทั่วโลก ไทยยูเนี่ยนภูมิใจที่ได้เป็นหนึ่งในภาคีข้อตกลงโลกแห่งสหประชาชาติ (Untied Nations Global Compact) และเป็นผู้ร่วมก่อตั้งมูลนิธิเพื่อความยั่งยืนของอาหารทะเลสากล (International Seafood Sustainability Foundation – ISSF) ในปี 2558 ไทยยูเนี่ยนเปิดตัวกลยุทธ์ด้านความยั่งยืน SeaChange® และดำเนินการในเรื่องดังกล่าวอย่างต่อเนื่องเรื่องมาโดยตลอดในเรื่องดังกล่าว จนส่งผลโดยรวมให้ไทยยูเนี่ยนได้รับการคัดเลือกให้เป็นสมาชิกของดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์ (Dow Jones Sustainability Indices หรือ DJSI) สำหรับตลาดเกิดใหม่มาตั้งแต่ปี 2557 และในปี 2559 ไทยยูเนี่ยนได้รับเลือกให้เป็นสมาชิกของ DJSI เป็นปีที่สามติดต่อกัน นอกจากนี้ ไทยยูเนี่ยนได้รับการคัดเลือกให้ติดอันดับดัชนี FTSE4Good Emerging Index อีกด้วย
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ
คุณวิสาขา จันทกิจ
มือถือ: +66.81.845.7316
อีเมล: Christopher.hughes@thaiunion.com