ซีอีโอไทยยูเนี่ยนรับตำแหน่งประธาน SeaBOS สานต่อพันธกิจดูแลท้องทะเลอย่างยั่งยืน

กรุงเทพฯ – 6 ตุลาคม 2565 – นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) รับตำแหน่งประธานคณะกรรมการบริหาร SeaBOS หรือ Seafood Business for Ocean Stewardship ซึ่งเป็นองค์กรที่เกิดจากบริษัทอาหารทะเลรายใหญ่ของโลกและองค์กรด้านวิทยาศาสตร์มาร่วมหาทางออกเชิงวิทยาศาสตร์ที่จะสามารถตอบโจทย์ประเด็นที่อุตสาหกรรมอาหารทะเลเผชิญอยู่

โดยที่ประชุม SeaBOS Keystone Dialogue ณ ประเทศเนเธอแลนด์ ได้ลงมติอย่างเป็นทางการให้นายธีรพงศ์ จันศิริ เข้ารับตำแหน่งประธานคณะกรรมการบริหารกลุ่ม SeaBOS นี้ต่อจาก นางเทอรีส ล็อก เบอก์จอร์ด ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สเกรทติ้ง นอกจากนี้ นางเอแลน ซิฟ-ดูกิ ประธานกรรมการ บริษัท คาร์กิลล์ อะควา นิวทริชั่น จะรับหน้ารองประธานต่อจากนายธีรพงศ์

"ผมรู้สึกเป็นเกียรติที่ได้เข้ารับตำแหน่งประธานคณะกรรมการบริหาร SeaBOS ในครั้งนี้ นับเป็นโอกาสอันดีที่จะได้สานต่อความร่วมมือเพื่อให้พันธกิจของ SeaBOS ลุล่วงได้ตามเป้าหมายในการที่จะเดินหน้ากลยุทธ์และโครงการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการดูแลรักษามหาสมุทรให้อุดมสมบูรณ์ การประมงให้เป็นไปอย่างยั่งยืน พร้อมทั้งดูแลแรงงานในอุตสาหกรรม" นายธีรพงศ์กล่าว

องค์กร SeaBOS คือการรวมตัวของบริษัทผู้ผลิตอาหารทะเลรายใหญ่ของโลก 10 บริษัท มาร่วมกันทำงานในด้านการประมง การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ และอาหารสัตว์ ร่วมกับบริษัทต่างๆ ทั้งในทวีปยุโรป อเมริกาเหนือและเอเชีย และยังใช้หลักวิทยาศาสตร์มาใช้ในการตั้งวิสัยทัศน์ร่วมกันเพื่อพัฒนาการผลิตอาหารทะเลที่ยั่งยืนมากยิ่งขึ้นและสิ่งแวดล้อมของท้องทะเลที่ดีขึ้น

"วิธีการทำงานที่อิงหลักวิทยาศาสตร์ของ SeaBOS ทำให้เราสามารถหาทางออกให้กับความท้าทายบางประการที่อุตสาหกรรมอาหารทะเลกำลังเผชิญอยู่ได้ ด้วยเครือข่ายของกลุ่ม ทำให้เราสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงไปได้ทั่วโลก ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่หลักวิทยาศาสตร์เท่านั้น" นายธีรพงศ์กล่าวเพิ่มเติม

ตั้งแต่องค์กร SeaBOS ก่อตั้งขึ้นในปี 2559 ความร่วมมือระหว่างบริษัทอาหารทะเลชั้นนำของโลกและองค์กรด้านวิทยาศาสตร์ทำให้สามารถพัฒนาโมเดลความร่วมมือที่มีประสิทธิภาพที่จะดูแลมหาสมุทร โดยก้าวข้ามการทำงานของแต่ละบริษัทเป็นการดูแลทั่วทั้งอุตสาหกรรม

สมาชิกองค์กร SeaBOS ประกอบไปด้วย บริษัท มารุฮา นิชิโร คอร์ปอเรชั่น, นิสซุย, ไทยยูเนี่ยน, โมวี่, ดองวอน อินดัสทรีส์, เซอร์แมค, คาร์กิลล์ อะควา นิวทริชั่น, นูเทรโก/สเกรทติ้ง, ซีพีเอฟ, และเคียวคุโย สำหรับองค์กรพันธมิตรด้านวิทยาศาสตร์ได้แก่ สต็อคโฮล์ม เรซิเลียนส์ เซ็นเตอร์, บีเจอร์ อินสติติว ฟอร์ อิโคโลจิคอล อิโคนอมิกส์ แห่ง รอยัล สวีดิช อะคาเดมี ออฟ ไซน์, มหาวิทยาลัยแลงแคสเตอร์ และ สแตนฟอร์ด เซ็นเตอร์ ฟอร์ โอเชียน โซลูชั่นส์ และงานทางด้านวิทยาศาสตร์ได้รับการสนับสนุนด้านเงินทุนจาก มูลนิธิวอลตัน แฟมิลี่ มูลนิธิเดวิด แอนด์ ลูซิล แพ็คการ์ด และมูลนิธิกอร์ดอน แอนด์ เบตตี้ มัวร์

เกี่ยวกับ บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)

บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เป็นผู้นำด้านอาหารทะเลระดับโลกที่นำผลิตภัณฑ์อาหารทะเลคุณภาพสูง ดีต่อสุขภาพ อร่อย และสร้างสรรค์ มาสู่ลูกค้าทั่วโลกมาเป็นกว่า 45 ปี

ปัจจุบัน ไทยยูเนี่ยนถือได้ว่าเป็นหนึ่งในผู้ผลิตอาหารทะเลชั้นนำของโลกและเป็นหนึ่งในผู้ผลิตปลาทูน่าในบรรจุภัณฑ์ชนิดต่างๆ ที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยมียอดขายต่อปีเกินกว่า 141,000 ล้านบาท (4,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) และแรงงานทั่วโลกกว่า 44,000 คน ที่ทุ่มเทให้กับการบุกเบิกผลิตภัณฑ์อาหารทะเลที่สร้างสรรค์และยั่งยืน

ไทยยูเนี่ยนเป็นเจ้าของแบรนด์ทั่วโลก ประกอบด้วย แบรนด์ที่เป็นผู้นำตลาดโลกอย่าง Chicken of the Sea, John West, Petit Navire, Parmentier, Mareblu, King Oscar และ Rügen Fisch รวมทั้งแบรนด์ชั้นนำในประเทศไทย ได้แก่ ซีเล็ค ฟิชโช คิวเฟรช โมโนริ OMG MEAT เบลลอตต้า และมาร์โว่ นอกจากนี้ยังมีส่วนประกอบอาหารภายใต้แบรนด์ UniQ®BONE และ UniQ®DHA และผลิตภัณฑ์อาหารเสริมเพื่อสุขภาพแบรนด์ ZEAvita

จากพันธกิจในการเป็นบริษัทแห่งนวัตกรรมและดำเนินงานด้วยความรับผิดชอบทั่วโลก ไทยยูเนี่ยนภูมิใจที่ได้เป็นหนึ่งในภาคีข้อตกลงโลกแห่งสหประชาชาติ (United Nations Global Compact) และเป็นผู้ร่วมก่อตั้งมูลนิธิเพื่อความยั่งยืนของอาหารทะเลสากล (International Seafood Sustainability Foundation: ISSF) ในปี 2558 ไทยยูเนี่ยนเปิดตัวกลยุทธ์ด้านความยั่งยืน SeaChange® และดำเนินการในเรื่องดังกล่าวอย่างต่อเนื่องเรื่อยมาโดยตลอด จนส่งผลให้ไทยยูเนียนได้รับการคัดเลือกให้เป็นสมาชิกของดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์ (Dow Jones Sustainability Indices หรือ DJSI) สำหรับตลาดเกิดใหม่ 8 ปีติดต่อกัน โดยในปี 2564 นอกจากนี้ไทยยูเนี่ยนยังได้รับการคัดเลือกให้ติดอันดับดัชนี FTSE4Good Emerging Index เป็นปีที่ 5 ติดต่อกัน