ไทยยูเนี่ยน เดินหน้าพัฒนาอุตสาหกรรมกุ้งแบบครบวงจร เปิดตัวโครงการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในฟาร์มกุ้ง

บอสตัน – 12 มีนาคม 2567 – บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ผู้นำอุตสาหกรรมอาหารทะเลระดับโลก ร่วมกับ องค์กรอนุรักษ์ธรรมชาติระดับโลก The Nature Conservancy (TNC) และ บริษัท อาโฮลด์ เดอแลซ สหรัฐอเมริกา (Ahold Delhaize USA) หนึ่งในกลุ่มธุรกิจค้าปลีกระดับโลก เปิดตัวโครงการนำร่องเพื่อลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เกิดจากกระบวนการเลี้ยงกุ้ง ตั้งเป้าสร้างการเปลี่ยนแปลงในการเลี้ยงสัตว์น้ำแบบก้าวกระโดดและยั่งยืน

นายอดัม เบรนนัน ผู้อำนวยการกลุ่ม ด้านการพัฒนาที่ยั่งยืน บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า โครงการนำร่องในครั้งนี้ ตั้งเป้าผลิตกุ้งปีละประมาณ 1,000 ตัน ที่กระบวนการผลิตต้องลดผลกระทบต่อสภาพแวดล้อม และเป็นกุ้งที่มีคุณภาพสูงและสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ตั้งแต่โรงเพาะฟักลูกกุ้งจนถึงจุดสิ้นสุดของกระบวนการจัดส่ง เพื่อส่งมอบผลิตภัณฑ์กุ้งคุณภาพสูงไปยังบริษัทชิคเก้น ออฟ เดอะ ซี โฟรเซ่น ฟู้ดส์ ซึ่งเป็นบริษัทในเครือไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป โครงการนี้ตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นในการดูแลสิ่งแวดล้อมและลงมือทำอย่างจริงจังของไทยยูเนี่ยนเพื่อก้าวสู่การเป็นผู้นำอุตสาหกรรมอาหารทะเลแบบยั่งยืนในอนาคต เพื่อให้บรรลุผลตามโครงการริเริ่มเป้าหมายที่อิงหลักวิทยาศาสตร์ (Science Based Targets initiative) หรือ SBTi ที่ต้องลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลง 42 เปอร์เซ็นต์ ในระบบปฏิบัติการและห่วงโซ่อุปทานของเรา

“การทำงานร่วมกับ TNC จะช่วยให้เราเป็นผู้นำและต้นแบบในการผลิตกุ้งที่มีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม แต่สามารถสร้างประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ได้อีกด้วย โครงการนำร่องในปี 2567 จะเป็นข้อพิสูจน์ถึงความทุ่มเทของเราในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและกำหนดเกณฑ์มาตรฐานใหม่ด้านความยั่งยืนในอุตสาหกรรมอาหารทะเล อีกทั้ง โครงการนี้จะช่วยพลิกโฉมอุตสาหกรรมกุ้งให้มีความยั่งยืน มีประสิทธิภาพ และมีความเท่าเทียมมากยิ่งขึ้น ซึ่งแนวทางการปฏิบัติที่ยั่งยืนจะนำไปสู่การสร้างผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ และเรามุ่งมั่นว่าจะสร้างแรงบันดาลใจ และเป็นต้นแบบให้กับผู้ที่อยู่ในอุตสาหกรรมทั้งหมด” นายอดัม กล่าว

ในช่วงเริ่มต้นโครงการนี้จะมุ่งไปที่การลงทุนในฟาร์มเป็นหลัก เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและผลผลิต ลดการใช้พลังงาน และเพิ่มการใช้วัตถุดิบอาหารสัตว์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยการเพิ่มประสิทธิภาพทั้งในส่วนของฟาร์มและอาหารที่ใช้เลี้ยงกุ้งนั้นเป็นปัจจัยสำคัญในการบรรลุเป้าหมายที่จะเพิ่มผลผลิตและลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงได้ควบคู่กัน

หลังจากโครงการนำร่องนี้ประสบความสำเร็จ ไทยยูเนี่ยนวางแผนที่จะเพิ่มขนาดของโครงการไปยังฟาร์มกุ้งอื่น ๆ ในประเทศไทย และพื้นที่อื่น ๆ โดยการขยายของโครงการจะช่วยส่งต่อหลักปฏิบัติที่ยั่งยืนให้กับเกษตรเพื่อสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านไปสู่แนวทางปฏิบัติที่ยั่งยืนมากขึ้น

ทั้งนี้ บริษัท อาโฮลด์ เดอแลซ สหรัฐอเมริกา หนึ่งในกลุ่มธุรกิจค้าปลีกระดับโลก ได้ตกลงให้การสนับสนุนผลิตภัณฑ์กุ้งในโครงการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในฟาร์มกุ้ง ผ่านแบรนด์ Food Lion และ Hannaford  

นายมาร์ค สโตลแมน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านความยั่งยืน บริษัท อาโฮลด์ เดอแลซ สหรัฐอเมริกา หนึ่งในกลุ่มธุรกิจค้าปลีกระดับโลก กล่าวว่า อาโฮลด์ เดอแลซ สหรัฐอเมริกา และแบรนด์ท้องถิ่นในเครือให้ความสำคัญกับนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืนและรับผิดชอบต่อกระบวนการคัดสรรและจัดซื้อวัตถุดิบในทุกผลิตภัณฑ์ เพราะเราตระหนักถึงความจำเป็นอันเร่งด่วนของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการเสื่อมโทรมของสิ่งแวดล้อม โครงการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในฟาร์มกุ้งนี้เป็นก้าวสำคัญของวงการอุตสาหกรรมการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำอย่างยั่งยืน เราภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการที่มีคุณค่าและเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับอุตสาหกรรมค้าปลีกระดับโลกสอดคล้องกับแนวทางของบริษัทฯ เพื่อสุขภาพที่ดีของผู้คนและโลก

สำหรับรูปแบบการสนับสนุนจะถูกปรับให้เหมาะกับฟาร์มแต่ละประเภท ซึ่งอาจจะรวมไปถึงการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ในฟาร์ม โดยคาดว่าจะสามารถลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกได้ สะท้อนถึงศักยภาพในการสร้างเปลี่ยนแปลงต่อสิ่งแวดล้อมอย่างมีนัยสำคัญ

ความร่วมมือ ครั้งสำคัญนี้เป็นการเดินหน้าไปสู่การผลิตอาหารทะเลอย่างยั่งยืน ผ่านนวัตกรรมและการร่วมมือด้วยความทุ่มเท เพื่อสร้างเกณฑ์มาตรฐานใหม่ในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในฟาร์มกุ้ง สำหรับอุตสาหกรรมให้เกิดขึ้น

###

เกี่ยวกับ บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)

บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เป็นผู้นำด้านอาหารทะเลระดับโลกที่นำผลิตภัณฑ์อาหารทะเลคุณภาพสูง ดีต่อสุขภาพ อร่อย และสร้างสรรค์ มาสู่ลูกค้าทั่วโลกมา 47 ปี

ปัจจุบัน ไทยยูเนี่ยนถือได้ว่าเป็นหนึ่งในผู้ผลิตอาหารทะเลชั้นนำของโลกและเป็นหนึ่งในผู้ผลิตปลาทูน่าในบรรจุภัณฑ์ชนิดต่างๆ ที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยมียอดขายต่อปีเกินกว่า 136,153 ล้านบาท (3,912 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) และแรงงานทั่วโลกกว่า 44,000 คน ที่ทุ่มเทให้กับการบุกเบิกผลิตภัณฑ์อาหารทะเลที่สร้างสรรค์และยั่งยืน

ปัจจุบันไทยยูเนี่ยนเป็นเจ้าของแบรนด์ทั่วโลก ประกอบด้วย แบรนด์ที่เป็นผู้นำตลาดโลกอย่าง Chicken of the Sea, John West, Petit Navire, Parmentier, Mareblu, King Oscar, Hawesta และ Rügen Fisch รวมทั้งแบรนด์ชั้นนำในประเทศไทย ได้แก่ ซีเล็ค ฟิชโช คิวเฟรช โมโนริ OMG MEAT เบลลอตต้า และมาร์โว่ นอกจากนี้ยังมีส่วนประกอบอาหารภายใต้แบรนด์ UniQ®BONE และ UniQ®DHA และผลิตภัณฑ์อาหารเสริมเพื่อสุขภาพแบรนด์ ZEAvita

ไทยยูเนี่ยนมีเป้าหมายเพื่อสร้าง "การมีสุขภาพที่ดีและท้องทะเลที่อุดมสมบูรณ์, Healthy Living, Healthy Oceans" โดยให้ความสำคัญกับสุขภาพผู้คน ควบคู่ไปกับการอนุรักษ์ท้องทะเล เราภาคภูมิใจในการเป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลงโลกแห่งสหประชาชาติ (United Nations Global Compact: UNGC) พร้อมทั้งเป็นผู้ร่วมก่อตั้งมูลนิธิเพื่อความยั่งยืนของอาหารทะเลสากล (International Seafood Sustainability Foundation: ISSF) และได้รับเกียรติเป็นเป็นประธาน SeaBOS หรือ Seafood Business for Ocean Stewardship

ไทยยูเนี่ยนได้ประกาศกลยุทธ์ความยั่งยืน SeaChange® 2030 พร้อมขยายขอบเขตการทำงานด้านความยั่งยืนให้ครอบคลุมมิติของผู้คนและสิ่งแวดล้อม ไทยยูเนี่ยนดำเนินงานด้านความยั่งยืนโดยยึดหลักกลยุทธ์ SeaChange® ที่ได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติ จากผลการประเมินงานด้านความยั่งยืนปี 2565 บริษัทได้รับการคัดเลือกให้เป็นสมาชิกของดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์ (Dow Jones Sustainability Indices: DJSI) สำหรับตลาดเกิดใหม่เป็นปีที่ 10 ติดต่อกัน และยังได้รับการจัดอันดับในดัชนี Seafood Stewardship Index (SSI) เป็นอันดับหนึ่ง 3 ปีติดต่อกัน และในปี 2566 ได้รับการจัดอันดับอยู่ใน S&P Global Sustainability Yearbook 2023 ตลอดจนได้รับผลการประเมินดัชนีชี้วัดความยั่งยืนระดับ B จากสถาบันประเมินความยั่งยืนที่น่าเชื่อถือระดับโลก Carbon Disclosure Project (CDP) สะท้อนความความโปร่งใสและการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ นอกจากนี้ในปี 2566 ไทยยูเนี่ยนยังได้รับการคัดเลือกให้ติดอันดับดัชนี FTSE4Good Emerging Index เป็นปีที่ 8 ติดต่อกัน สามารถติดตามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการดำเนินธุรกิจแบบยั่งยืนได้ที่ seachangesustainability.org.