ไทยยูเนี่ยนตอกย้ำความสำเร็จกลยุทธ์ยั่งยืน SeaChange® 2030 คว้าผลการประเมินดัชนีชี้วัดความยั่งยืนด้านการบริหารจัดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ CDP ระดับ B

  • ไทยยูเนี่ยน ได้รับผลการประเมินดัชนีชี้วัดความยั่งยืนระดับ B จากสถาบันประเมินความยั่งยืนที่น่าเชื่อถือระดับโลก Carbon Disclosure Project (CDP) สะท้อนความความโปร่งใสและการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยอยู่ในระดับที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยของโลกและภูมิภาคเอเชียที่อยู่ในระดับ C
  • บริษัทฯ ยังได้รับการจัดลำดับรายชื่อ บริษัทที่มีคะแนนสูงสุด 10% (Top 10% S&P Global ESG Scores) ในกลุ่มอุตสาหกรรมอาหาร จาก S&P Global Sustainability Yearbook 2024

กรุงเทพฯ – 8 กุมภาพันธ์ 2567 – บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ผู้นำอุตสาหกรรมอาหารทะเลระดับโลก ได้รับผลการประเมินดัชนีชี้วัดความยั่งยืนระดับ B จาก CDP ซึ่งเป็นองค์กรเพื่อสาธารณประโยชน์ด้านบริหารการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ที่กำหนดมาตรฐานการเปิดเผยข้อมูลคาร์บอนและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในระดับโลก สะท้อนผลสำเร็จหลังจากดำเนินงานกว่า 6 เดือนเพื่อบรรลุเป้าหมายด้านการจัดการสภาพภูมิอากาศภายใต้การขับเคลื่อนกลยุทธ์ความยั่งยืน SeaChange® 2030

ไทยยูเนี่ยนเข้าร่วมการประเมินจาก CDP ในปีนี้เป็นครั้งแรก และได้รับผลการประเมินในระดับระดับ B ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยขององค์กรในภูมิภาคเอเชียและระดับโลกซึ่งอยู่ในระดับ C และสูงกว่าค่าเฉลี่ยการประเมินภาคอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มที่อยู่ในระดับ B- ทั้งนี้ ไทยยูเนี่ยนได้รับการจัดอันดับระดับ A ทั้งหมด 4 ด้าน ได้แก่ การปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากทางอ้อมอื่น ๆ (ขอบเขตที่ 3) เป้าหมายด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โครงการริเริ่มเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและผลิตภัณฑ์คาร์บอนต่ำ และการกำกับดูแล

ผลการประเมินจาก CDP ด้านความโปร่งใสและการดำเนินการ รวบรวมจากบริษัทฯ ที่เข้าร่วมกว่า 21,000 แห่ง โดยการนำข้อมูลจากตอบแบบสอบถามเกี่ยวกับการดำเนินงานเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การตัดไม้ทำลายป่าและความมั่นคงของน้ำ

นายอดัม เบรนนัน ผู้อำนวยการกลุ่มความยั่งยืน บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ไทยยูเนี่ยน เราตระหนักดีว่าเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศกำลังทวีความรุนแรงและส่งผลต่อระบบนิเวศ และด้วยกลยุทธ์ความยั่งยืน SeaChange® 2030 จำนวน 11 ข้อ ที่ครอบคลุมการดูแลทั้งผู้คนและโลกอย่างยั่งยืน ซึ่งรวมไปถึงเรื่องการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลง 42 เปอร์เซ็นต์ในขอบเขตที่ 1 2 และ 3 ภายในปี 2573 และปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ในปี 2593 โดยทั้งสองเป้าหมายได้รับการตรวจสอบโดยองค์กร Science Based Targets Initiative (SBTi) ซึ่งสอดคล้องกับข้อตกลงของปารีสโดยตรง

ไทยยูเนี่ยนตระหนักถึงสถานการณ์และความเร่งด่วนที่จะต้องทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง จึงจัดสรรงบประมาณรวม 7,200 ล้านบาท หรือกว่า 200 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งเท่ากับกำไรสุทธิที่บริษัทได้รับในปี 2565 ทุ่มให้กับการดำเนินงานกลยุทธ์ความยั่งยืน SeaChange® ไปถึงปี 2573 ซึ่งรวมไปการสนับสนุนงบประมาณ 250 ล้านบาท (มากกว่า 7 ล้านเหรียญสหรัฐ) เพื่อปกป้องและฟื้นฟูระบบนิเวศสำคัญพร้อมตั้งเป้าหมายที่ท้าทายเพื่อมุ่งสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับห่วงโซ่มูลค่าธุรกิจอาหารทะเล นอกจากนี้ ไทยยูเนี่ยน ยังให้ความสำคัญกับการทำเกษตรกรรมที่มีความรับผิดชอบ ปราศจากการตัดไม้ทำลายป่า รวมไปถึง การปรับปรุงการดำเนินงานภายในโรงงานเพื่อลดการปล่อยน้ำเสียให้เป็นศูนย์ ลดของเสียฝังกลบเป็นศูนย์ และลดการสูญเสียอาหารเป็นศูนย์ ในโรงงานหลักห้าแห่งทั้งในและต่างประเทศ

นอกจากนี้ ไทยยูเนี่ยน ยังเป็นหนึ่งในบริษัทฯ ที่มีผลการดำเนินงานด้านความยั่งยืนที่โดนเด่นและได้รับการยอมรับระดับโลก โดยได้รับการจัดอันดับรายชื่อใน S&P Global Sustainability Yearbook 2024 โดยมีคะแนนสูงสุดระดับ 10% (Top 10% S&P Global ESG Scores) ในกลุ่มอุตสาหกรรมอาหาร ที่มีการประเมินในด้านต่างๆ เช่น ด้านความหลากหลายทางชีวภาพ ด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ด้านโภชนาการและสุขภาพ ด้านสิทธิมนุษยชน และด้านการบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทาน จาก S&P Global ซึ่งผู้ให้บริการข้อมูลด้านการเงินและการจัดอันดับความน่าเชื่อถือระดับโลก ซึ่งในปี 2566 มีบริษัท เข้าร่วมการประเมินผลด้านความยั่งยืนของธุรกิจที่เรียกว่า Corporate Sustainability Assessment (CSA) มากกว่า 9,400 แห่ง และมีบริษัทเพียง 759 แห่ง ที่ผ่านการประเมินและได้รับการจัดอันดับรายชื่ออยู่ใน Sustainability Yearbook ประจำปี 2024

ผลการประเมินจาก CDP และ S&P Global เป็นอีก 2 การประเมินดัชนีชี้วัดด้านความยั่งยืนระดับโลกที่ไทยยูเนี่ยนได้รับ นอกเหนือจากการได้รับคัดเลือกให้เป็นสมาชิกดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์ หรือ DJSI เป็นปีที่ 10 ติดต่อกันในปี 2566 และยังครองอันดับ 1 ดัชนีอาหารทะเลยั่งยืน Seafood Stewardship Index (SSI) ติดต่อกัน 3 ปีซ้อน ตอกย้ำความเป็นผู้นำในด้านความยั่งยืนและเป็นส่วนหนึ่งในการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติ

###

เกี่ยวกับ บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)

บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เป็นผู้นำด้านอาหารทะเลระดับโลกที่นำผลิตภัณฑ์อาหารทะเลคุณภาพสูง ดีต่อสุขภาพ อร่อย และสร้างสรรค์ มาสู่ลูกค้าทั่วโลกมากว่า 47 ปี

ปัจจุบัน ไทยยูเนี่ยนถือได้ว่าเป็นหนึ่งในผู้ผลิตอาหารทะเลชั้นนำของโลกและเป็นหนึ่งในผู้ผลิตปลาทูน่าในบรรจุภัณฑ์ชนิดต่างๆ ที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยมียอดขายต่อปีเกินกว่า 155,586 ล้านบาท (4,438 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) และแรงงานทั่วโลกกว่า 44,000 คน ที่ทุ่มเทให้กับการบุกเบิกผลิตภัณฑ์อาหารทะเลที่สร้างสรรค์และยั่งยืน

ปัจจุบันไทยยูเนี่ยนเป็นเจ้าของแบรนด์ทั่วโลก ประกอบด้วย แบรนด์ที่เป็นผู้นำตลาดโลกอย่าง Chicken of the Sea, John West, Petit Navire, Parmentier, Mareblu, King Oscar, Hawesta และ Rügen Fisch รวมทั้งแบรนด์ชั้นนำในประเทศไทย ได้แก่ ซีเล็ค ฟิชโช คิวเฟรช โมโนริ OMG MEAT เบลลอตต้า และมาร์โว่ นอกจากนี้ยังมีส่วนประกอบอาหารภายใต้แบรนด์ UniQ®BONE และ UniQ®DHA และผลิตภัณฑ์อาหารเสริมเพื่อสุขภาพแบรนด์ ZEAvita

ไทยยูเนี่ยนมีเป้าหมายเพื่อสร้าง "การมีสุขภาพที่ดีและท้องทะเลที่อุดมสมบูรณ์, Healthy Living, Healthy Oceans" โดยให้ความสำคัญกับสุขภาพผู้คน ควบคู่ไปกับการอนุรักษ์ท้องทะเล เราภาคภูมิใจในการเป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลงโลกแห่งสหประชาชาติ (United Nations Global Compact: UNGC) พร้อมทั้งเป็นผู้ร่วมก่อตั้งมูลนิธิเพื่อความยั่งยืนของอาหารทะเลสากล (International Seafood Sustainability Foundation: ISSF) และได้รับเกียรติเป็นเป็นประธาน SeaBOS หรือ Seafood Business for Ocean Stewardship

ไทยยูเนี่ยนได้ประกาศกลยุทธ์ความยั่งยืน SeaChange® 2030 พร้อมขยายขอบเขตการทำงานด้านความยั่งยืนให้ครอบคลุมมิติของผู้คนและสิ่งแวดล้อม ไทยยูเนี่ยนดำเนินงานด้านความยั่งยืนโดยยึดหลักกลยุทธ์ SeaChange® ที่ได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติ จากผลการประเมินงานด้านความยั่งยืนปี 2565 บริษัทได้รับการคัดเลือกให้เป็นสมาชิกของดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์ (Dow Jones Sustainability Indices: DJSI) สำหรับตลาดเกิดใหม่เป็นปีที่ 10 ติดต่อกันและได้อันดับ 1 ในกลุ่มอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์อาหารซึ่งไทยยูเนี่ยนเคยได้ในปี 2561 และปี 2562 บริษัทได้รับการจัดอันดับในดัชนี Seafood Stewardship Index (SSI) เป็นอันดับที่ 1 ในปี 2565 และปี 2566 นี้ยังได้รับการจัดอันดับอยู่ใน S&P Global Sustainability Yearbook 2023 โดยมีคะแนนอยู่ในกลุ่ม 1 เปอร์เซ็นต์ที่คะแนนสูงสุด จากกว่า 7,800 บริษัทที่เข้ารับการประเมิน นอกจากนี้ในปี 2565 ไทยยูเนี่ยนยังได้รับการคัดเลือกให้ติดอันดับดัชนี FTSE4Good Emerging Index เป็นปีที่ 7 ติดต่อกัน