ไทยยูเนี่ยนรุดหน้าตรวจโควิดให้พนักงานกว่า 27,000 คนในสมุทรสาคร ยืนยันทุกโรงงานยังเปิดตามปกติ

6 มกราคม 2564, กรุงเทพฯ – บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เร่งตรวจหาเชื้อโควิด-19 ให้กับพนักงานบริษัทฯ ทุกคนในจังหวัดสมุทรสาคร รวม 27,522 คน ตอกย้ำสุขภาพและความปลอดภัยสูงสุดของพนักงานและการปฏิบัติงาน

ณ วันที่ 5 มกราคม 2564 พนักงานไทยยูเนี่ยนจำนวน 23,630 คน หรือมากกว่า 85 เปอร์เซ็นต์ ได้รับการตรวจหาเชื้อโควิด-19 แล้ว โดยจำนวนพนักงานที่ปฏิบัติงานในจังหวัดสมุทรสาครมีทั้งสิ้น 27,552 คน และได้รับผลการตรวจยืนยันโดยวิธี PCR มีพนักงานที่ติดเชื้อเพียง 0.29 เปอร์เซ็นต์ หรือ 69 คน บริษัทได้ทำการแยกพนักงานกลุ่มดังกล่าวเพื่อกักตัวและส่งรักษากับทางภาครัฐต่อไปหากมีอาการใดๆ ทั้งนี้การตรวจทั้งสิ้นจะแล้วเสร็จในช่วงสัปดาห์หน้า

“ผมขอย้ำตรงนี้ว่าพนักงานของเราทุกคนจะได้รับการตรวจหาเชื้อโควิด-19 เพื่อให้มั่นใจว่าพนักงานของเราทุกคนจะได้รับการดูแลอย่างดี โดยไม่จำกัด อายุ เพศ หรือเชื้อชาติ เพื่อให้เรามั่นใจได้ว่าการผลิตของไทยยูเนี่ยนจะดำเนินอย่างต่อเนื่อง” นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าว

ไทยยูเนี่ยนได้ปฏิบัติตามระเบียบวิธีและแนวทางของกระทรวงสาธารณสุข โดยมีการกักตัวพนักงานกลุ่มเสี่ยงที่มีการติดต่อกับผู้ติดเชื้อ นอกจากนี้หน่วยงานของรัฐยังมีการติดตามผู้ที่เข้าข่ายกลุ่มเสี่ยงต่อไป ไทยยูเนี่ยนจะยังคงติดตามสถานการณ์และประสานงานกับภาครัฐอย่างใกล้ชิด

นายธีรพงศ์กล่าวต่อไปว่า “เราได้มีมาตรการที่ชัดเจนในการดูแลผู้ที่ติดเชื้อเอาไว้แล้ว มาตรการและขั้นตอนต่างๆ เหล่านี้ยังรวมไปถึงการดูแลพนักงานที่ได้รับผลกระทบในขณะที่กักตัวตามแนวทางของภาครัฐ มีการระบุผู้ใกล้ชิดผู้ที่ติดเชื้อและตรวจหาเชื้อโควิด-19 ให้ ตลอดจนการทำความสะอาดฆ่าเชื้อ big cleaning ในบริเวณต่างๆ สิ่งที่สำคัญอีกประการคือ โรงงานของไทยยูเนี่ยนทุกโรงยังคงเปิดดำเนินการตามปกติเนื่องจากจำนวนพนักงานที่ได้รับผลกระทบมีอัตราและจำนวนที่น้อยมาก”

ภายหลังจากสถานการณ์โควิด-19 ในจังหวัดสมุทรสาคร ไทยยูเนี่ยนตอกย้ำเสมอว่าสิ่งที่บริษัทให้ความสำคัญสูงสุดคือสุขภาพและความปลอดภัยของพนักงาน คู่ค้า ผู้บริโภคและชุมชนโดยรอบ และมีการเพิ่มมาตรการด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัยอย่างเข้มงวด บริษัทฯ มีมาตรการคัดกรองผู้ที่จะเข้ามาปฏิบัติงานที่โรงงาน การผลิตยังคงดำเนินอย่างต่อเนื่อง แต่ได้งดการประชุมติดต่อ ซึ่งครอบคลุมทั้งพนักงานบริษัทฯ และผู้ที่มาติดต่อ ยกเว้นธุรกรรมที่จำเป็นเท่านั้นและต้องได้รับอนุญาตจากคณะผู้บริหารของบริษัทฯ

บริษัทยังมีการจำกัดการเคลื่อนย้ายพนักงานภายในโรงงานเองและให้ฝ่ายสนับสนุนต่างๆ ทำงานจากบ้าน มีการทำความสะอาดฆ่าเชื้อต่างๆ ในบริเวณสถานที่ปฏิบัติงาน รวมถึงให้พนักงานปฏิบัติตามข้อแนะนำด้านสุขภาพและความปลอดภัยอย่างเคร่งครัด บริษัทฯ ยังมีแผนการเตรียมพร้อมในด้านต่างๆ อาทิ การฝึกซ้อมรับมือสถานการณ์ต่างๆ และมีแผนการดำเนินธุรกิจอย่างต่อเนื่อง ทั้งหมดนี้เพื่อให้มั่นใจได้ว่าบริษัทฯ ได้ดำเนินตามมาตรฐานสูงสุดในด้านสุขภาพและความปลอดภัยเพื่อพนักงาน การดำเนินงานและผลิตภัณฑ์ของบริษัทฯ

ตามรายงานองค์การอนามัยโลก ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งสหรัฐอเมริกาและสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ได้ระบุว่า ไม่มีความเสี่ยงที่เกิดการแพร่เชื้อผ่านผลิตภัณฑ์อาหารหรือบรรจุภัณฑ์อาหาร “ผมมีความมั่นใจอย่างยิ่งในนโยบายและมาตรการด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัยของเราที่โรงงาน ซึ่งมีความเข้มงวดในทุกขั้นตอนการผลิต เพื่อป้องกันการปนเปื้อนใดๆ รวมถึงไวรัสและการติดเชื้อต่างๆ” นายธีรพงศ์กล่าว

นอกจากนี้ ไทยยูเนี่ยนยังคงดูแลชุมชนโดยรอบอย่างต่อเนื่อง “ชาวสมุทรสาครได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 ในจังหวัดเป็นจำนวนมาก บริษัทได้มีการส่งความช่วยเหลือไปยังหน่วยงานต่างๆ เราขอให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ทุ่มเททำงานอย่างเต็มที่ ไทยยูเนี่ยนยังคงเชื่อมั่นว่าเราจะผ่านมันไปด้วยกัน” นายธีรพงศ์ จันศิริ กล่าวทิ้งท้าย

เกี่ยวกับ บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)

บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เป็นผู้นำธุรกิจอาหารทะเลของโลก ซึ่ง ส่งมอบผลิตภัณฑ์อาหารทะเลที่มีนวัตกรรม รสชาติดี มีประโยชน์ต่อสุขภาพ และมีคุณภาพสูงให้กับผู้บริโภคทั่วโลกมาเป็นเวลากว่า 40 ปี

วันนี้ บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป ได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้นำธุรกิจอาหารทะเลระดับโลก โดยเป็นหนึ่งในผู้ผลิตปลาทูน่าในบรรจุภัณฑ์ชนิดต่างๆ ที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยมียอดขายต่อปีมากกว่า 126,275 ล้านบาท (4.1 พันล้านเหรียญสหรัฐ) และมีพนักงานทั่วโลกรวมกันมากกว่า 44,000 คน ซึ่งล้วนทุ่มเทเพื่อผลิตภัณฑ์อาหารทะเลที่มีนวัตกรรมและมีความยั่งยืน

ไทยยูเนี่ยนเป็นเจ้าของแบรนด์ทั่วโลก ประกอบด้วย แบรนด์ที่เป็นผู้นำตลาดโลกอย่าง Chicken of the Sea, John West, Petit Navire, Parmentier, Mareblu, King Oscar และ Rügen Fisch รวมทั้งแบรนด์ชั้นนำในประเทศไทย ได้แก่ ซีเล็ค ฟิชโช คิวเฟรช โมโนริ เบลลอตต้า และมาร์โว่

จากพันธกิจในการเป็นบริษัทแห่งนวัตกรรมและดำเนินงานด้วยความรับผิดชอบทั่วโลก ไทยยูเนี่ยนภูมิใจที่ได้เป็นหนึ่งในภาคีข้อตกลงโลกแห่งสหประชาชาติ (United Nations Global Compact) และเป็นผู้ร่วมก่อตั้งมูลนิธิเพื่อความยั่งยืนของอาหารทะเลสากล (International Seafood Sustainability Foundation: ISSF) ในปี 2558 ไทยยูเนี่ยนเปิดตัวกลยุทธ์ด้านความยั่งยืน SeaChange® และดำเนินการในเรื่องดังกล่าวอย่างต่อเนื่องเรื่อยมาโดยตลอด จนส่งผลให้ไทยยูเนียนได้รับการคัดเลือกให้เป็นสมาชิกของดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์ (Dow Jones Sustainability Indices หรือ DJSI) สำหรับตลาดเกิดใหม่มาตั้งแต่ปี 2557 และในปี 2562 ไทยยูเนี่ยนได้รับเลือกให้เป็นสมาชิกของ DJSI เป็นปีที่เจ็ดติดต่อกัน โดยได้รับเลือกเป็นบริษัทอันดับ 1 ของกลุ่มอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์อาหารเป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน นอกจากนี้ไทยยูเนี่ยนยังได้รับการคัดเลือกให้ติดอันดับดัชนี FTSE4Good Emerging Index เป็นปีที่ 5 ติดต่อกัน และได้รับอีกหลากหลายรางวัลสำหรับการเป็นผู้นำในการทำงานด้านความยั่งยืน