สเปซ-เอฟ เดโม เดย์: โชว์ความพร้อมสตาร์ทอัพฟู้ดเทคสู่สายตานักลงทุน




บรรยายภาพ: สตาร์ทอัพ 7 บริษัทโชว์ผลงานให้กับนักลงทุนในงานสเปซ-เอฟ เดโม เดย์ ภายหลังเข้าร่วมโครงการเป็นเวลากว่า 4 เดือน

5 มีนาคม 2563, กรุงเทพมหานคร สเปซ-เอฟ โครงการบ่มเพาะและเร่งการเติบโตของสตาร์ทอัพนวัตกรรมอาหารแห่งแรกของโลกที่เกิดขึ้นในประเทศไทย  จัด เดโม เดย์”  โชว์ความพร้อมของสตาร์ทอัพฟู้ดเทคทั้งจากประเทศไทยและนานาชาติในโครงการ ก้าวสู่ธุรกิจอาหารเต็มตัวให้กับกลุ่มนักลงทุน

สตาร์ทอัพในโปรแกรม Accelerator สำหรับบริษัทสตาร์ทอัพที่อยู่ในระยะเร่งการเติบโต จำนวน 7 บริษัท ได้นำเสนอผลิตภัณฑ์และแนวคิดต่างๆ ให้กับนักลงทุนจากสถาบันการเงิน บริษัทเอกชน ที่ประจำอยู่ในประเทศไทย กว่า 70 ชีวิตภายในงาน โดยผลิตภัณฑ์และแนวคิดของสตาร์ทอัพนั้นได้ที่ได้พัฒนา ปรับปรุงและ ต่อยอดในระหว่างที่เข้าร่วมโครงการ เพื่อให้เข้ากับตลาดและลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย

สตาร์ทอัพทั้ง 7 บริษัทยังกล่าวด้วยว่ามีความพร้อมที่จะยกระดับและเติบโตขึ้นในเชิงธุรกิจ ภายหลังจากเข้าร่วมโปรแกรมเร่งการเติบโตของโครงการ สเปซ-เอฟ ตลอดระยะเวลา 4 เดือน ซึ่งเป็นโปรแกรมที่เข้มข้นออกแบบสำหรับสตาร์ทอัพฟู้ดเทค โดยความร่วมมือของสามฝ่ายได้แก่ บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) มหาวิทยาลัยมหิดล และสำนักนวัตกรรมแห่งชาติ

ดร.พันธุ์อาจ ชัยรัตน์ ผู้อำนวยการสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) กล่าวว่า “ปัจจุบันความท้าทายด้านอาหารได้เกิดขึ้นทั่วโลก จำนวนประชากรเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วทำให้ความต้องการอาหารมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น ทั้งปริมาณและคุณภาพ โครงการ SPACE-F จึงถือเป็นการเริ่มต้นที่ดี ในการแก้ปัญหาเหล่านี้ สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติมีความมุ่งมั่นที่จะส่งเสริมการเติบโตของสตาร์พอัพเสมอมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านอาหาร เนื่องจากประเทศไทยเป็นที่ตั้งของตลาดอาหารและเครื่องดื่มที่มีความหลากหลาย และมีห่วงโซ่อาหารที่กว้างขวางและครอบคลุมทั่วโลก ด้วยโครงสร้างพื้นฐานที่มีอยู่เดิม และความร่วมมือสนับสนุนจากหลายภาคส่วน จะสามารถทำให้ประเทศไทยกลายเป็นศูนย์กลางการพัฒนาสตาร์ทอัพด้านอาหาร (FoodTech) ได้อย่างเหมาะสม และจะช่วยแก้ปัญหา และพร้อมรับมือกับความท้าทายเหล่านั้นได้อย่างยั่งยืน นอกจากนี้สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติยังมีกลไลสนับสนุนสตาร์ทอัพในโครงการต่อไป เช่น การขอ SMART Visa สำหรับชาวต่างชาติ, การขอบัตรสนับสนุนจาก BOI, และถ้าเป็นบริษัทไทย ก็สามารถขอรับเงินทุนสำหรับทำต้นแบบผลิตภัณฑ์ได้”

นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “โครงการสเปซ-เอฟ เกิดขึ้นเพื่อสร้างระบบนิเวศให้กับแวดวงเทคโนโลยีอาหาร นอกจากจะสนับสนุนให้สตาร์ทอัพได้เติบโตและประสบความสำเร็จในโลกธุรกิจให้ได้แล้ว  โครงการนี้จึงเป็นตัวอย่างของความสำเร็จที่ภาครัฐ ภาคเอกชนและสถาบันการศึกษาจับมือกันส่งเสริมอุตสาหกรรมให้ก้าวหน้าต่อไป  และ ไทยยูเนี่ยน ในฐานะหนึ่งในผู้นำผู้ผลิตอาหารทะเลระดับโลก เรามุ่งมั่นพัฒนาในด้านนวัตกรรมมาโดยตลอด เพราะเราเชื่อว่านวัตกรรมคือหัวใจหลักของความสำเร็จในอนาคต  เราจึงใช้นวัตกรรมมาพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อให้ตรงกับความต้องการของผู้บริโภคที่ปรับเปลี่ยนไปตามไลฟ์สไตล์และมีความตระหนักเรื่องความยั่งยืนมากขึ้นด้วย”

ในส่วนของมหาวิทยาลัยมหิดลหนึ่งใน Co-Founder ของโครงการ สเปซ-เอฟ ศาสตราจารย์ นพ.บรรจง มไหสวริยะ รักษาการอธิการบดีมหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า “มหาวิทยาลัยฯ ยินดีที่ได้เห็นความสำเร็จของโครงการ และยินดีสนับสนุนโครงการสเปซ-เอฟ ให้มีการขยายความร่วมมือจากที่คณะวิทยาศาสตร์ได้เริ่มไว้ไปยังหน่วยงานอื่นๆ  ของมหาวิทยาลัย เพื่อช่วยสนับสนุนให้เกิดการเชื่อมโยงของสตาร์ทอัพในระบบนิเวศน์นวัตกรรม  (Ecosystem) ยิ่งขึ้น”

สเปซ-เอฟ เป็นโครงการบ่มเพาะและเร่งการเติบโตให้กับสตาร์ทอัพในด้านต่อไปนี้ ด้านอาหารเพื่อสุขภาพ (health and wellness), โปรตีนทางเลือก (alternative proteins), กระบวนการผลิตอาหารอัจฉริยะ (smart manufacturing), บรรจุภัณฑ์แห่งอนาคต (packaging solution), ส่วนผสมและอาหารใหม่ (novel food and ingredients), วัสดุชีวภาพและสารเคมี (biomaterial and chemical), เทคโนโลยีการบริหารจัดการร้านอาหาร (restaurant tech), การตรวจสอบควมคุมคุณภาพและความปลอดภัยอาหาร (food safety and quality) และบริการอัจฉริยะด้านอาหาร (smart food services)   และเป็นโครงการที่เปิดกว้างให้กับสตาร์ทอัพ โดยผู้ก่อตั้งโครงการจะไม่ถือหุ้นใดๆ ทำให้สตาร์ทอัพครอบครองแนวคิดและผลิตภัณฑ์ได้อย่างสมบูรณ์

เกี่ยวกับ บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)

บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เป็นผู้นำธุรกิจอาหารทะเลของโลก ซึ่ง ส่งมอบผลิตภัณฑ์อาหารทะเลที่มีนวัตกรรม รสชาติดี มีประโยชน์ต่อสุขภาพ และมีคุณภาพสูงให้กับผู้บริโภคทั่วโลกมาเป็นเวลากว่า 40 ปี

วันนี้ บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป ได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้ผลิตผลิตภัณฑ์ปลาทูน่าบรรจุภาชนะชนิดต่างๆ ที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยมียอดขายต่อปีมากกว่า 126,275 ล้านบาท (4.1 พันล้านเหรียญสหรัฐ) และมีพนักงานทั่วโลกรวมกันมากกว่า 47,000 คน ซึ่งล้วนทุ่มเทเพื่อผลิตภัณฑ์อาหารทะเลที่มีนวัตกรรมและมีความยั่งยืน

ไทยยูเนี่ยนเป็นเจ้าของแบรนด์ทั่วโลก ประกอบด้วย แบรนด์ที่เป็นผู้นำตลาดโลกอย่าง Chicken of the Sea, John West, Petit Navire, Parmentier, Mareblu, King Oscar และ Rügen Fisch รวมทั้งแบรนด์ชั้นนำในประเทศไทย ได้แก่ ซีเล็ค ฟิชโช คิวเฟรช โมโนริ เบลลอตต้า และมาร์โว่

จากพันธกิจในการเป็นบริษัทแห่งนวัตกรรมและดำเนินงานด้วยความรับผิดชอบทั่วโลก ไทยยูเนี่ยนภูมิใจที่ได้เป็นหนึ่งในภาคีข้อตกลงโลกแห่งสหประชาชาติ (United Nations Global Compact) และเป็นผู้ร่วมก่อตั้งมูลนิธิเพื่อความยั่งยืนของอาหารทะเลสากล (International Seafood Sustainability Foundation: ISSF) ในปี 2558 ไทยยูเนี่ยนเปิดตัวกลยุทธ์ด้านความยั่งยืน SeaChange® และดำเนินการในเรื่องดังกล่าวอย่างต่อเนื่องเรื่อยมาโดยตลอด จนส่งผลให้ไทยยูเนียนได้รับการคัดเลือกให้เป็นสมาชิกของดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์ (Dow Jones Sustainability Indices หรือ DJSI) สำหรับตลาดเกิดใหม่มาตั้งแต่ปี 2557 และในปี 2562 ไทยยูเนี่ยนได้รับเลือกให้เป็นสมาชิกของ DJSI เป็นปีที่หกติดต่อกัน โดยได้รับเลือกเป็นบริษัทอันดับ 1 ของกลุ่มอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์อาหารเป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน นอกจากนี้ไทยยูเนี่ยนยังได้รับการคัดเลือกให้ติดอันดับดัชนี FTSE4Good Emerging Index และได้รับอีกหลากหลายรางวัลสำหรับการเป็นผู้นำในการทำงานด้านความยั่งยืน