ไทยยูเนี่ยนประกาศกำไรขั้นต้นปี 62 ทะลุ 2 หมื่นล้าน

  • กำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษีเงินได้ ค่าเสื่อมและค่าจัดจำหน่าย ทำสถิติสูงเป็นประวัติการณ์อยู่ที่ 1.2 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 9.2 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับปี 2561
  • กำไรสุทธิจากการดำเนินงานปกติอยู่ที่ 5,218 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.5 เปอร์เซ็นต์ และมีการจัดหาเงินสดได้มากกว่า 7 พันล้านบาท
  • ประสบความสำเร็จในการลดอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุน อยู่ที่ระดับ 1.07 เท่า จากการออกหุ้นกู้ด้อยสิทธิ์ที่มีลักษณะคล้ายทุนและความสามารถในการจัดหาเงินสดของบริษัท
  • ยอดขายได้รับผลกระทบจากสกุลเงินบาทที่แข็งค่า
  • ปี 62 ปันผลหุ้นละ 47 สตางค์ เพิ่มขึ้น 17.5 เปอร์เซ็นต์

บรรยายภาพ: นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)

17 กุมภาพันธ์ 2563, กรุงเทพมหานคร – บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ประกาศผลประกอบการประจำปี 2562 มีกำไรสุทธิจากการดำเนินงานปกติ 5,218 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.5 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า โดยรายงานกำไรสุทธิภายหลังจากหักรายพิเศษอยู่ที่ 3,816 ล้านบาท พร้อมเผยความสามารถในการทำกำไรเข้มแข็งขึ้น ส่งผลให้กำไรขั้นต้นเติบโต 6.4 เปอร์เซ็นต์ คิดเป็นเงินมากกว่า 2 หมื่นล้านบาท

กำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษีเงินได้ ค่าเสื่อมและค่าจัดจำหน่าย ทำสถิติสูงเป็นประวัติการณ์อยู่ที่ 1.2 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 9.2 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับปี 2561 สะท้อนถึงการดำเนินงานที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องด้วยด้านความสามารถในการทำกำไร อีกทั้งการลงทุนและบริษัทในเครือมีผลงานดีขึ้นสม่ำเสมอ ยอดขายลดลง 5.3 เปอร์เซ็นต์ อยู่ที่ระดับ 126,270 ล้านบาท เนื่องจากสถานการณ์ค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น

ในปี 2562 ปริมาณการขายเติบโต 1.9 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับปี 2561 เป็นผลจากธุรกิจอาหารทะเลแช่เย็นและแช่แข็งและธุรกิจที่เกี่ยวข้องที่มีปริมาณการขายเติบโตขึ้น 12.8 เปอร์เซ็นต์ และธุรกิจผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงและผลิตภัณฑ์เพิ่มมูลค่ามีปริมาณการขายเติบโตขึ้น 3.2 เปอร์เซ็นต์ กำไรจากการดำเนินงานในปี 2562 เติบโตขึ้นถึง 20.8 เปอร์เซ็นต์ อยู่ที่ 5,642 ล้านบาท สำหรับสัดส่วนของยอดขายตามภูมิภาค ยอดขายจากทวีปอเมริกาเหนือมีสัดส่วนถึง 41 เปอร์เซ็นต์ ยอดขายจากทวีปยุโรป 28 เปอร์เซ็นต์ ยอดขายจากประเทศไทย 12 เปอร์เซ็นต์ และตลาดอื่นๆ ได้แก่ เอเชียแปซิฟิก ตะวันออกกลาง แอฟริกา และอเมริกาใต้ 18 เปอร์เซ็นต์

นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ไทยยูเนี่ยนยังคงมุ่งมั่นในการทำกำไรจากทั้งการดำเนินงานของธุรกิจหลัก ธุรกิจเพิ่มมูลค่าใหม่ๆ และการลงทุนเชิงกลยุทธ์ที่มีอยู่ เราภูมิใจกับผลงานและความเติบโตของบริษัทในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ผมมั่นใจว่าไทยยูเนี่ยนจะก้าวต่อไปในทศวรรษใหม่นี้ในฐานะผู้นำด้านความยั่งยืนในอุตสาหกรรมอาหารทะเล อีกทั้งยังลงทุนต่อเนื่องในด้านนวัตกรรม และพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคทั่วโลก และสานต่อพันธกิจในการสร้าง “สุขภาพที่ดี และท้องทะเลที่สมบูรณ์” ต่อไป”

ในปี 2562 อัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุนลดลงอยู่ที่ระดับ 1.07 เท่า ลดลงจาก 1.40 เท่าในปี 2561 อันเป็นผลจากการออกหุ้นกู้ด้อยสิทธิ์ที่มีลักษณะคล้ายทุนมูลค่า 6 พันล้านบาทในไตรมาสสุดท้ายของปี ประกอบกับการลดหนี้สินจากกระแสเงินสดอิสระจำนวน 3 พันล้านบาท

สำหรับปี 2562 ไทยยูเนี่ยนจะปันผล 47 สตางค์ต่อหุ้น เพิ่มขึ้น 17.5 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับปี 2561 โดยในปี 2562 ได้ประกาศจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล 25 สตางค์ต่อหุ้น

นวัตกรรมยังคงเป็นหัวใจสำคัญในการเติบโตของไทยยูเนี่ยนในอนาคต บริษัทจึงมุ่งมั่นนำเทคโนโลยีล่าสุดมาพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อประโยชน์สูงสุดแก่ผู้บริโภค ในปีที่ผ่านมา ไทยยูเนี่ยนได้เปิดศูนย์นวัตกรรมไทยยูเนี่ยนขึ้นที่กรุงเทพฯ ซึ่งมีนักวิจัยกว่า 120 ชีวิต และในจำนวนนี้มีนักวิจัยระดับปริญญาเอกจากทั่วโลกมากกว่า 40 ท่าน ซึ่งเชี่ยวชาญในสาขาเทคโนโลยีชีวภาพทางทะเล วิศวกรรม ยา อาหาร และสารอาหาร

ในปี 2562 ไทยยูเนี่ยนยังได้ร่วมกับสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติและคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ก่อตั้งโครงการสเปซ-เอฟ โครงการบ่มเพาะและเร่งการเติบโตของสตาร์ทอัพนวัตกรรมอาหาร เพื่อขับเคลื่อนนวัตกรรมใหักับอุตสาหกรรม โดยในช่วงปลายปีที่ผ่านมา ได้จัดงานพบปะนักลงทุนให้กับ 23 สตาร์ทอัพจาก 6 ประเทศได้แก่ เยอรมัน อินเดีย นอร์เวย์ สิงคโปร์ สหรัฐอเมริกา และประเทศไทย และในไตรมาสแรกของปี 2563 จะมีการจัดแสดงผลงานหรือ Demo Day ในวันที 5 มีนาคม นี้อีกด้วย

ไทยยูเนี่ยนดำเนินงานอย่างต่อเนื่องตามกลยุทธ์ด้านความยั่งยืน SeaChange® เพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นในอุตสาหกรรมอาหารทะเล และในปีที่ผ่านมา ไทยยูเนี่ยนได้รับเลือกเป็นบริษัทอันดับ 1 ของกลุ่มอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์อาหาร ดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์ (Dow Jones Sustainability Indices หรือ DJSI) เป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน และได้รับการจัดอันดับเป็นที่ 1 ในดัชนี SEAFOOD STEWARDSHIP INDEX ปีแรก ตอบโจทย์การทำงานตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนโดยองค์การสหประชาชาติ

นอกจากนี้ บริษัทยังได้จับมือกับกองทุนสัตว์ป่าโลกสากล หรือ WWF เผยแพร่รายงานความโปร่งใสในการจัดหาวัตถุดิบ เรื่องการจับปลาและสัตว์น้ำประเภทมีเปลือกแบบธรรมชาติ นอกจากนี้มีความร่วมมือกับบริษัทคาลิสตา ผู้ผลิตอาหารสัตว์โปรตีนทางเลือก เปิดตัวกุ้งที่เลี้ยงด้วยโปรตีนที่สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้และตอบโจทย์ด้านความยั่งยืนในอุตสาหกรรมอาหารเลี้ยงกุ้ง ไทยยูเนี่ยนยังได้ร่วมเป็นเจ้าภาพการประชุม SeaBOS (Seafood Business for Ocean Stewardship) ประจำปี 2562 โดยมีนักวิทยาศาสตร์และ 10 บริษัทอาหารทะเลชั้นนำของโลกมาร่วมกันเพื่อเพิ่มการผลิตอาหารทะเลที่ยั่งยืนและปกป้องมหาสมุทร

เกี่ยวกับ บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)

บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เป็นผู้นำธุรกิจอาหารทะเลของโลก ซึ่ง ส่งมอบผลิตภัณฑ์อาหารทะเลที่มีนวัตกรรม รสชาติดี มีประโยชน์ต่อสุขภาพ และมีคุณภาพสูงให้กับผู้บริโภคทั่วโลกมาเป็นเวลากว่า 40 ปี

วันนี้ บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป ได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้ผลิตผลิตภัณฑ์ปลาทูน่าบรรจุภาชนะชนิดต่างๆ ที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยมียอดขายต่อปีมากกว่า 133.3 แสนล้านบาท (4.1 พันล้านเหรียญสหรัฐ) และมีพนักงานทั่วโลกรวมกันมากกว่า 47,000 คน ซึ่งล้วนทุ่มเทเพื่อผลิตภัณฑ์อาหารทะเลที่มีนวัตกรรมและมีความยั่งยืน

ไทยยูเนี่ยนเป็นเจ้าของแบรนด์ทั่วโลก ประกอบด้วย แบรนด์ที่เป็นผู้นำตลาดโลกอย่าง Chicken of the Sea, John West, Petit Navire, Parmentier, Mareblu, King Oscar และ Rügen Fisch รวมทั้งแบรนด์ชั้นนำในประเทศไทย ได้แก่ ซีเล็ค ฟิชโช คิวเฟรช โมโนริ เบลลอตต้า และมาร์โว่

จากพันธกิจในการเป็นบริษัทแห่งนวัตกรรมและดำเนินงานด้วยความรับผิดชอบทั่วโลก ไทยยูเนี่ยนภูมิใจที่ได้เป็นหนึ่งในภาคีข้อตกลงโลกแห่งสหประชาชาติ (United Nations Global Compact) และเป็นผู้ร่วมก่อตั้งมูลนิธิเพื่อความยั่งยืนของอาหารทะเลสากล (International Seafood Sustainability Foundation: ISSF) ในปี 2558 ไทยยูเนี่ยนเปิดตัวกลยุทธ์ด้านความยั่งยืน SeaChange® และดำเนินการในเรื่องดังกล่าวอย่างต่อเนื่องเรื่อยมาโดยตลอด จนส่งผลให้ไทยยูเนียนได้รับการคัดเลือกให้เป็นสมาชิกของดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์ (Dow Jones Sustainability Indices หรือ DJSI) สำหรับตลาดเกิดใหม่มาตั้งแต่ปี 2557 และในปี 2561 ไทยยูเนี่ยนได้รับเลือกให้เป็นสมาชิกของ DJSI เป็นปีที่ห้าติดต่อกัน โดยได้รับเลือกเป็นบริษัทอันดับ 1 ของกลุ่มอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์อาหาร นอกจากนี้ไทยยูเนี่ยนยังได้รับการคัดเลือกให้ติดอันดับดัชนี FTSE4Good Emerging Index และได้รับอีกหลากหลายรางวัลสำหรับการเป็นผู้นำในการทำงานด้านความยั่งยืน