'ไทยยูเนี่ยน' เชื่อนักลงทุนมั่นใจในธุรกิจที่เติบโต หนุนหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนได้รับกระแสตอบรับดีจากนักลงทุน

  • หุ้นกู้ฯ ไทยยูเนี่ยนให้ผลตอบแทนในระดับ 5% ต่อปีในช่วง 5 ปีแรก
  • อันดับความน่าเชื่อถือของหุ้นกู้ที่ A- จาก บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด
  • คาดว่าเสนอขายให้แก่นักลงทุนทั่วไประหว่างวันที่ 26-28 พฤศจิกายนนี้

 

บรรยายภาพ: นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)

24 ตุลาคม 2562, กรุงเทพฯ - บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เชื่อนักลงทุนให้ความสนใจตอบรับหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนของบริษัท ด้วยความมั่นใจในศักยภาพและความแข็งแกร่งทั้งโครงสร้างธุรกิจและโครงสร้างทางการเงินของ “ไทยยูเนี่ยน” ในฐานะผู้นำธุรกิจอาหารทะเลของโลก ขณะเดียวกัน ยังเป็นโอกาสที่เหมาะสมในการเข้าลงทุนในหุ้นกู้ฯ ที่ให้ผลตอบแทนในระดับ 5% ต่อปีในช่วง 5 ปีแรก ด้วยอันดับความน่าเชื่อถือของหุ้นกู้ที่ A- ตอบโจทย์กลุ่มนักลงทุนที่ต้องการลงทุนในตราสารที่ให้ผลตอบแทนที่น่าพอใจและเป็นหุ้นกู้ฯที่ออกโดยบริษัทที่มีความมั่นคงสูง

“หุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนฯ” กำลังจะออกและเสนอขายให้แก่นักลงทุนทั่วไปในวงเงินจำนวน 4 พันล้านบาทและมีหุ้นกู้สำรองเพื่อเสนอขายเพิ่มเติมอีกจำนวน 2 พันล้านบาท รวมทั้งสิ้นไม่เกิน 6 พันล้านบาท ในระหว่างวันที่ 26-28 พฤศจิกายนนี้

ทั้งนี้ หุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนฯไถ่ถอนเมื่อเลิกบริษัท ซึ่งผู้ออกหุ้นกู้มีสิทธิไถ่ถอนหุ้นกู้ก่อนกำหนด และมีสิทธิเลื่อนชำระดอกเบี้ยโดยไม่มีเงื่อนไขใดๆ ของบริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ครั้งที่ 2/2562ผู้ออกหุ้นกู้สามารถใช้สิทธิไถ่ถอนหุ้นกู้ก่อนกำหนดในวันครบกำหนด 5 ปี หรือตามเงื่อนไขอื่นๆ ที่กำหนดไว้ในแบบแสดงรายการข้อมูลฯ และร่างหนังสือชี้ชวน และมีอัตราดอกเบี้ย 5.00% ต่อปี ในช่วง 5 ปีแรกโดยจ่ายดอกเบี้ยทุกๆ 3 เดือน จะเสนอขายให้แก่ผู้ลงทุนทั่วไป และ/หรือผู้ลงสถาบันผ่านธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกรุงไทย ธนาคารไทยพาณิชย์ และ บริษัทหลักทรัพย์ภัทร

นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า

“เราเชื่อว่า นอกจากนักลงทุนจะพิจารณาจากอัตราผลตอบแทนจากการลงทุนแล้ว ปัจจัยสำคัญอีกประการหนึ่ง คือ ความมั่นคงของกิจการของผู้ออกตราสาร รวมถึงโอกาสในการเติบโตของอุตสาหกรรม ซึ่งตลอดระยะเวลากว่า 40 ปีที่ผ่านมา เป็นบทพิสูจน์ถึงความแข็งแกร่งของไทยยูเนี่ยน ที่เราสามารถผลักดันให้บริษัทขึ้นสู่การเป็นบริษัทชั้นนำในธุรกิจอาหารทะเลในระดับโลก ด้วยการสร้างผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย และมีแบรนด์ที่เข้มแข็งกว่า 14 แบรนด์ที่ขยายไปทั่วโลก นอกจากนี้ อุตสาหกรรมอาหารเป็นอุตสาหกรรมที่โอกาสในการเติบโตอย่างมีศักยภาพ เนื่องจากเป็นอุตสาหกรรมที่จำเป็นต้องการดำรงชีวิต และเมื่อแนวโน้มพฤติกรรมการบริโภคของผู้บริโภคเปลี่ยนไป ไทยยูเนี่ยนก็ยังคงเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมด้วยการจัดตั้งศูนย์นวัตกรรมไทยยูเนี่ยน เมื่อปี 2558 เพื่อเป็นศูนย์กลางการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ของบริษัทในเครือทั่วโลกอีกด้วย และ บริษัทยังให้ความสำคัญของการพัฒนาที่ยั่งยีนและมีความรับผิดชอบในทุกมิติทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม และ สังคม เหล่านี้ล้วนเป็นปัจจัยสนับสนุนที่ทำให้เชื่อว่า นักลงทุนจะให้การตอบรับหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนฯ ของไทยยูเนี่ยน ด้วยดีอย่างแน่นอน”

นอกจากนี้บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ซึ่งจัดอันดับความน่าเชื่อถือของบริษัทไว้ที่ระดับ A+ และจัดอันดับความน่าเชื่อของหุ้นกู้ด้อยสิทธิฯ ที่ระดับ A- สะท้อนถึงความเป็นผู้นำของบริษัทในฐานะผู้ผลิตอาหารทะเลแปรรูปชั้นนำของโลก รวมถึงการมีสินค้าและฐานลูกค้าที่หลากหลาย และตราสัญลักษณ์สินค้าที่เป็นที่รู้จักทั้งในทวีปยุโรปและประเทศสหรัฐอเมริกา โดยทริสเรทติ้งยังคงมีมุมมองว่า ผลการดำเนินงานของบริษัทจะค่อย ๆ ปรับตัวดีขึ้นตามกลยุทธ์ของบริษัทที่มุ่งเน้นการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ การควบคุมต้นทุน และปรับปรุงประสิทธิภาพทางการผลิต โดยภาระหนี้ของบริษัทจะปรับลดลงตามผลการดำเนินงานที่ฟื้นตัวดีขึ้นและค่าใช้จ่ายเงินลงทุนที่ลดลง

ประธานเจ้าหน้าที่บริหารไทยยูเนี่ยนกล่าวทิ้งท้ายว่า “บริษัทมีความแข็งแกร่งทางการเงิน ดังจะเห็นได้จากการบริหารจัดการทางการเงินที่เข้มงวด มีนโยบายการบริหารความเสี่ยงทางการเงินและทางธุรกิจที่ชัดเจนและระมัดระวัง บริษัทจึงสามารถจ่ายชำระภาระผูกพันต่างๆ ได้อย่างครบถ้วนและสร้างผลตอบแทนที่ดีให้ผู้ถือหุ้นตลอดระยะเวลากว่า 40 ปีที่ดำเนินกิจการ และ การออกหุ้นกู้ฯ ในครั้งนี้เพื่อปรับโครงสร้างทางการเงินที่เหมาะสมและมีความยืดหยุ่นเพื่อให้บริษัทมีความพร้อมในทุกโอกาสการลงทุนและการเติบโตของกิจการ บริษัทได้ปรับใช้มาตรฐานบัญชีใหม่ TAS32 ก่อนกำหนดตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาและหุ้นกู้นี้มีข้อกำหนดเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่จะนับเป็นทุนในทางบัญชีได้”

เกี่ยวกับ บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)

บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เป็นผู้นำธุรกิจอาหารทะเลของโลก ซึ่ง ส่งมอบผลิตภัณฑ์อาหารทะเลที่มีนวัตกรรม รสชาติดี มีประโยชน์ต่อสุขภาพ และมีคุณภาพสูงให้กับผู้บริโภคทั่วโลกมาเป็นเวลากว่า 40 ปี

วันนี้ บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป ได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้ผลิตผลิตภัณฑ์ปลาทูน่าบรรจุภาชนะชนิดต่างๆ ที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยมียอดขายต่อปีมากกว่า 1.33 แสนล้านบาท (4.1 พันล้านเหรียญสหรัฐ) และมีพนักงานทั่วโลกรวมกันมากกว่า 47,000 คน ซึ่งล้วนทุ่มเทเพื่อผลิตภัณฑ์อาหารทะเลที่มีนวัตกรรมและมีความยั่งยืน

ไทยยูเนี่ยนเป็นเจ้าของแบรนด์ทั่วโลก ประกอบด้วย แบรนด์ที่เป็นผู้นำตลาดโลกอย่าง Chicken of the Sea, John West, Petit Navire, Parmentier, Mareblu, King Oscar และ Rügen Fisch รวมทั้งแบรนด์ชั้นนำในประเทศไทย ได้แก่ ซีเล็ค ฟิชโช คิวเฟรช โมโนริ เบลลอตต้า และมาร์โว่

จากพันธกิจในการเป็นบริษัทแห่งนวัตกรรมและดำเนินงานด้วยความรับผิดชอบทั่วโลก ไทยยูเนี่ยนภูมิใจที่ได้เป็นหนึ่งในภาคีข้อตกลงโลกแห่งสหประชาชาติ (United Nations Global Compact) และเป็นผู้ร่วมก่อตั้งมูลนิธิเพื่อความยั่งยืนของอาหารทะเลสากล (International Seafood Sustainability Foundation: ISSF) ในปี 2558 ไทยยูเนี่ยนเปิดตัวกลยุทธ์ด้านความยั่งยืน SeaChange® และดำเนินการในเรื่องดังกล่าวอย่างต่อเนื่องเรื่อยมาโดยตลอด ทำให้ในปี 2561 และ 2562 ไทยยูเนี่ยนได้เป็นผู้นำอันดับ 1 กลุ่มอุตสาหกรรมของโลกใน Food Industry ในดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์ และประสบความสำเร็จในการได้รับคะแนนเปอร์เซ็นไทล์สูงสุดที่ 100 ในคะแนนด้านความยั่งยืนทั้งหมด ปัจจุบันไทยยูเนี่ยนได้รับการคัดเลือกให้เป็นสมาชิกของดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์ เป็นปีที่ 6 ติดต่อกัน นอกจากนี้ไทยยูเนี่ยนยังได้รับการคัดเลือกให้ติดอันดับดัชนี FTSE4Good Emerging Index ในปี 2561 อีกด้วย

ข้อมูลเพิ่มเติมโปรดติดต่อ

วิริยาภรณ์ โปษยานนท์
โทร +66.81.922.5135
อีเมล์ Wiriyaporn.Posayanonda@thaiunion.com

จิรวัส มนตรีวงค์
โทร +66.80.976.4613
อีเมล์ Jirawat.montreevong@thaiunion.com

ศิริขวัญ มั่นจิตจันทรา
บริษัท ไอทูซี คอมมูนิเคชั่นส์ จำกัด(ในนาม บมจ.ไทยยูเนี่ยน กรู๊ป)
โทร. 0819147556
อีเมล์ sirikwani2c@gmail.com