ไทยยูเนี่ยนประกาศกำไรขั้นต้นไตรมาส 2 โต 13.1% จากกลุ่มธุรกิจอาหารแช่เยือกแข็ง ผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงและผลิตภัณฑ์เพิ่มมูลค่า

  • ยอดขายลดลง 4.6 เปอร์เซ็นต์ เหลือ 32,214 ล้านบาท เนื่องจากปัจจัยอัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา และบริษัทมุ่งเน้นธุรกิจที่มีอัตราทำกำไรสูง
  • กำไรขั้นต้นในไตรมาสที่ 2 เพิ่มขึ้น 13.1 เปอร์เซ็นต์ เป็น 5,364 ล้านบาท ยังผลให้กำไรขึ้นต้นเพิ่มขึ้น 19.9 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า
  • ผลกำไรสุทธิก่อนหักค่าใช้จ่ายรายการพิเศษเพิ่มขึ้น 10.6 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า เป็น 1,513 ล้านบาท นับเป็น 4.7 เปอร์เซ็นต์ของรายรับ
บรรยายภาพ: ศูนย์นวัตกรรมไทยยูเนี่ยน ซึ่งมีนักวิทยาศาสตร์และนักวิจัยกว่า 160 คนจากทั่วโลกทำงานร่วมกัน


6 สิงหาคม 2562, กรุงเทพฯ -
บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) รายงานผลประกอบการประจำไตรมาสที่ 2 ปี 2562 มีกำไรขั้นต้นเพิ่มขี้นในไตรมาสดังกล่าว 13.1 เปอร์เซ็นต์ สืบเนื่องจากกลุ่มธุรกิจอาหารแช่เยือกแข็งและผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงทำผลงานได้ดีในไตรมาสนี้

กำไรขั้นต้นไตรมาสที่ 2 อยู่ที่ 5,364 ล้านบาท ส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นเป็น 16.7 เปอร์เซ็นต์ จาก 14 เปอร์เซ็นต์จากไตรมาสเดียวกันในปี 2561 ผลกำไรขั้นต้นที่ดีนี้เองส่งผลให้กำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษีเงินได้ ค่าเสื่อมและค่าจัดจำหน่ายอยู่ที่ 15.4 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า และสามารถจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล 0.25 บาท ต่อหุ้น

ยอดขายไตรมาสที่ 2 นี้ลดลง 4.6 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า อยู่ที่ 32.2 พันล้านบาท เนื่องจากค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น ค่าเงินสกุลยูโรอ่อนตัวลง และราคาวัตถุดิบที่ลดลง อย่างไรก็ดีปริมาณการขายเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจอาหารแช่เยือกแข็งและผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยง ซึ่งเป็นไปตามกลยุทธ์ของบริษัทที่มุ่งเน้นผลิตภัณฑ์ที่เพิ่มมูลค่ามากขึ้น

ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2562 ยอดขายในอเมริกาเหนือ มีสัดส่วน 39 เปอร์เซ็นต์ ของยอดขายรวมทั้งหมด ในขณะที่ตลาดยุโรป คิดเป็น 29 เปอร์เซ็นต์ ตลาดประเทศไทยมีสัดส่วน 12 เปอร์เซ็นต์ และยอดขายตลาดอื่นๆ คิดเป็น 19 เปอร์เซ็นต์

ในส่วนของยอดขายไทยยูเนี่ยนในไตรมาส 2 ปี 2562 ธุรกิจอาหารทะเลแปรรูปมียอดขายอยู่ที่ 14,031 ล้านบาท ลดลง 14.3 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบจากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา ธุรกิจอาหารแช่เยือกแข็งและแช่เย็นเพิ่มขึ้น 3.6 เปอร์เซ็นต์ อยู่ที่ 13,435 ล้านบาท ด้วยปริมาณการเติบโตที่เพิ่มขึ้น 10 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 2 ของปีก่อนหน้า ในขณะที่ธุรกิจผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงและผลิตภัณฑ์เพิ่มมูลค่ามียอดขายเพิ่มขึ้น 6.7 เปอร์เซ็นต์ อยู่ที่ 4,747 ล้านบาท ด้วยปริมาณการขายที่เติบโตขึ้นถึง 5.9 เปอร์เซ็นต์

“ไทยยูเนี่ยนยังคงให้ความสำคัญในเรื่องความสามารถในการทำกำไร ภาพรวมผลประกอบการในไตรมาสที่ 2 นี้เป็นที่น่าพอใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการดำเนินธุรกิจในสภาวะที่มีความท้าทายด้วยแล้ว” นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กล่าว “เรายังมองถึงอนาคต โดยไทยยูเนี่ยนได้นำนวัตกรรมมาพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่จะเปิดตัวสู่ตลาดต่างๆ ต่อไป ซึ่งเราคาดหวังว่าจะมีรายได้เข้ามาอย่างต่อเนื่อง ทำให้มีธุรกิจของเราเติบโตอย่างยั่งยืน”

ในระหว่างไตรมาสที่ 2 ของปี 2562 บริษัท ชิคเก้น ออฟ เดอะซี ในเครือของไทยยูเนี่ยน ได้ตกลงระงับข้อพิพาทกับผู้ฟ้องคดีส่วนใหญ่ในคดีการป้องกันการผูกขาดในประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นเงินจำนวน 1,402 ล้านบาทหลังจากหักภาษีแล้ว โดยหากไม่รวมค่าใช้จ่ายจากรายการพิเศษในกรณีดังกล่าว บริษัทได้บันทึกกำไรสุทธิเป็นเงินจำนวน 1,513 ล้านบาท

"เราเปิดเผยสถานะล่าสุดของคดีดังกล่าว เนื่องจาก บริษัท ชิคเก้น ออฟ เดอะซี ได้เตรียมพร้อมสำหรับผลกระทบทางการเงินใดๆ ที่อาจเกิดขึ้น" นายยอร์ก ไอร์เล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงินกลุ่มบริษัท กล่าว

ไทยยูเนี่ยนยังคงมุ่งมั่นพัฒนาในด้านนวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง โดยในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ได้เปิดตัวศูนย์นวัตกรรมไทยยูเนี่ยน หรือ Global Innovation Center (GIC) ณ อาคารเอส เอ็มทาวเวอร์ อย่างเป็นทางการ โดยได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จฯ ทรงเป็นประธานในพิธีเปิด โดยศูนย์นวัตกรรมแห่งนี้มีพื้นที่กว่า 5,000 ตารางเมตร และมีนักวิทยาศาสตร์และนักวิจัยกว่า 160 คน

ไทยยูเนี่ยนยังได้เผยแพร่รายงานความยั่งยืนในไตรมาสที่ 2 นี้ด้วย โดยมีเนื้อหารายละเอียดความคืบหน้าต่างๆ ของบริษัทในปี 2561 และผลงานที่ดำเนินตามเป้าหมายและดัชนีชี้วัดการทำงานที่ระบุไว้ตามกลยุทธ์ด้านความยั่งยืนของบริษัท หรือ SeaChange® รายงานความยั่งยืนฉบับที่ 6 นี้ยังแสดงให้เห็นว่าความมุ่งมั่นและการวัดผลนั้นช่วยให้บริษัทกระตุ้นให้อุตสาหกรรมโดยรวมเกิดการพัฒนาอย่างมีนัยยะ รายงานความยั่งยืนสามารถดาวน์โหลดได้ที่นี่

ในระหว่างไตรมาสที่ 2 ปี 2562 นี้ ไทยยูเนี่ยนได้รับรางวัลต่างๆ ทั้งด้านการบริหารธุรกิจและความยั่งยืน ไม่ว่าจะเป็นรางวัล ซีอีโอยอดเยี่ยม และบริษัทที่มีผลงานนักลงทุนสัมพันธ์ยอดเยี่ยม จาก Asian Excellence Awards 2019 บริษัทยังได้รับรางวัลบริษัทที่มีการบริหารจัดการยอดเยี่ยม จาก นิตยสาร Asiamoney โดยพิจารณาจากบริษัทในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกที่มีผลงานยอดเยี่ยมในช่วง 3 ทศวรรษที่ผ่านมา นอกจากนี้ ดร. แดเรี่ยน แมคเบน ผู้อำนวยการกลุ่มส่งเสริมกิจการองค์กรและความยั่งยืนของไทยยูเนี่ยน ได้รับรางวัล Seafood Champion ในฐานะที่มีวิสัยทัศน์เกี่ยวกับความยั่งยืน ในงานประชุมด้านอาหารทะเล SeaWeb ที่กรุงเทพมหานคร และยังได้รับรางวัลเหรียญทองแดงผู้นำบุคคลแห่งปีในงาน Global Good Awards ท้ายสุด แบรนด์ John West ซี่งเป็นแบรนด์ของไทยยูเนี่ยนได้รับรางวัลชนะเลิศแบรนด์ผลิตภัณฑ์อาหารกระป๋อง จากสำนักงานคณะกรรมการรับรองมาตรฐานการประมง (MSC) ประจำปี 2562 ประเทศอังกฤษ ซึ่งเป็นปีที่สามติดต่อกัน และ ผลิตภัณฑ์อินฟิวชั่น ปลาทูน่าในน้ำมันมะกอกผสมโหระพา แบรนด์ ชิคเก้น ออฟ เดอะซี ได้รับรางวัล PEOPLE Food Awards ปี 2562: ผลิตภัณฑ์ในซูเปอร์มาร์เก็ตยอดเยี่ยมแห่งปี ประเภทปลาทูน่า

เกี่ยวกับ บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)

บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เป็นผู้นำธุรกิจอาหารทะเลของโลก ซึ่ง ส่งมอบผลิตภัณฑ์อาหารทะเลที่มีนวัตกรรม รสชาติดี มีประโยชน์ต่อสุขภาพ และมีคุณภาพสูงให้กับผู้บริโภคทั่วโลกมาเป็นเวลากว่า 40 ปี

วันนี้ บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป ได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้ผลิตผลิตภัณฑ์ปลาทูน่าบรรจุภาชนะชนิดต่างๆ ที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยมียอดขายต่อปีมากกว่า 133.3 แสนล้านบาท (4.1 พันล้านเหรียญสหรัฐ) และมีพนักงานทั่วโลกรวมกันมากกว่า 47,000 คน ซึ่งล้วนทุ่มเทเพื่อผลิตภัณฑ์อาหารทะเลที่มีนวัตกรรมและมีความยั่งยืน

ไทยยูเนี่ยนเป็นเจ้าของแบรนด์ทั่วโลก ประกอบด้วย แบรนด์ที่เป็นผู้นำตลาดโลกอย่าง Chicken of the Sea, John West, Petit Navire, Parmentier, Mareblu, King Oscar และ Rügen Fisch รวมทั้งแบรนด์ชั้นนำในประเทศไทย ได้แก่ ซีเล็ค ฟิชโช คิวเฟรช โมโนริ เบลลอตต้า และมาร์โว่

จากพันธกิจในการเป็นบริษัทแห่งนวัตกรรมและดำเนินงานด้วยความรับผิดชอบทั่วโลก ไทยยูเนี่ยนภูมิใจที่ได้เป็นหนึ่งในภาคีข้อตกลงโลกแห่งสหประชาชาติ (United Nations Global Compact) และเป็นผู้ร่วมก่อตั้งมูลนิธิเพื่อความยั่งยืนของอาหารทะเลสากล (International Seafood Sustainability Foundation: ISSF) ในปี 2558 ไทยยูเนี่ยนเปิดตัวกลยุทธ์ด้านความยั่งยืน SeaChange® และดำเนินการในเรื่องดังกล่าวอย่างต่อเนื่องเรื่อยมาโดยตลอด จนส่งผลให้ไทยยูเนียนได้รับการคัดเลือกให้เป็นสมาชิกของดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์ (Dow Jones Sustainability Indices หรือ DJSI) สำหรับตลาดเกิดใหม่มาตั้งแต่ปี 2557 และในปี 2561 ไทยยูเนี่ยนได้รับเลือกให้เป็นสมาชิกของ DJSI เป็นปีที่ห้าติดต่อกัน โดยได้รับเลือกเป็นบริษัทอันดับ 1 ของกลุ่มอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์อาหาร นอกจากนี้ไทยยูเนี่ยนยังได้รับการคัดเลือกให้ติดอันดับดัชนี FTSE4Good Emerging Index และได้รับอีกหลากหลายรางวัลสำหรับการเป็นผู้นำในการทำงานด้านความยั่งยืน

สอบถามข้อมูลติดต่อ

วิริยาภรณ์ โปษยานนท์ (แป๋ม)
อีเมล์ wiriyaporn.posayanonda@thaiunion.com
โทร +66.81.922.5135

จิรวัส มนตรีวงศ์ (ดิว)
อีเมล์ jirawat.montreevong@thaiunion.com
โทร +66.84.668.8845