ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป ทำสถิติยอดขายไตรมาสที่ 4 สูงสุดเป็นประวัติการณ์

  • ยอดขายในไตรมาสที่ 4 ปี 2561 สูงสุดเป็นประวัติการณ์ อยู่ที่ 36,012 ล้านบาท ด้วยปริมาณการขายที่เติบโตขึ้น
  • การดำเนินงานฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องในไตรมาสที่ 4 โดยมีกำไรจากการดำเนินงานอยู่ที่ 1,499 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 55.2 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 4 ของปีก่อน
  • การบริหารกระแสเงินสดอิสระที่ดีเยี่ยมทำให้บริษัทฯ สามารถชำระหนี้คืนได้ถึง 3,506 ล้านบาทในระหว่างปี 2561

คำบรรยายภาพ - พนักงานไทยยูเนี่ยนที่โรงงานของบริษัทฯ ในจังหวัดสมุทรสาคร เครดิตภาพ - ไทยยูเนี่ยน

20 กุมภาพันธ์ 2562, กรุงเทพฯ – บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) รายงานผลประกอบการประจำไตรมาสที่ 4 ประจำปี 2561 ยอดขาย จำนวน 36,012 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.7 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 4 ของปีก่อนหน้า เป็นกำไรจากการดำเนินงานประจำไตรมาสที่สูงที่สุดในรอบสองปี ธุรกิจอาหารแช่เยือกแข็งและแช่เย็น และธุรกิจผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยง มีการปรับราคาและปรับปรุงการดำเนินงาน มีส่วนในยอดขายที่เพิ่มขึ้น

ยอดขายปี 2561 ลดลง 1.2 เปอร์เซ็นต์ จากปีก่อนหน้า มาเป็น 133,285 ล้านบาท เนื่องจากค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น หากไม่มีผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน ยอดขายปี 2561 จะเพิ่มขึ้น 0.5 เปอร์เซ็นต์ กำไรขั้นต้นในปี 2561 ลดลง 2.2 เปอร์เซ็นต์ เนื่องจากราคาปลาทูน่าและอัตราแลกเปลี่ยนเงินตรามีความผันผวนในช่วง ไตรมาสแรกของปี

ในปี 2561 อัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารลดลงอยู่ที่ 10.7 เปอร์เซ็นต์ มีการควบคุมค่าใช้จ่ายอย่างรัดกุม ทำให้ค่าใช้จ่ายลดลง 1.2 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า อัตรากระแสเงินสดอิสระอยู่ที่ 8,401 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเกือบ 3 เท่าจากปีก่อนหน้า มีผลทำให้บริษัทสามารถชำระหนี้คืนได้ 3,506 ล้านบาท

"ปีที่ผ่านมามีสภาวะตลาดที่ท้าทาย แต่เราก็ยังคงมุ่งมั่นในการดำเนินงานที่เป็นเลิศและเพิ่มความสามารถในการทำกำไร ผลงานที่ดีในไตรมาสที่ 4 นี้ทำให้เรามั่นใจว่าปี 2562 นี้ ไทยยูเนี่ยน จะต้องแข็งแกร่งและประสบความสำเร็จมากขึ้นแน่นอน" นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป กล่าว

ไทยยูเนี่ยน ประกาศจ่ายเงินปันผลที่ 0.15 บาทต่อหุ้น รวมการจ่ายเงินปันผลทั้งปี 2561 อยู่ที่ 0.40 บาทต่อหุ้น

สำหรับปี 2561 ยอดขายในอเมริกาเหนือยังคงมีบทบาทสำคัญต่อรายได้ของบริษัท โดยมีสัดส่วน 39 เปอร์เซ็นต์ของยอดขายรวม ในขณะที่ตลาดยุโรป คิดเป็น 30 เปอร์เซ็นต์ ตลาดประเทศไทยมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นคิดเป็น 11 เปอร์เซ็นต์ และตลาดเอเชียแปซิฟิก ตะวันออกกลาง แอฟริกาและอเมริกาใต้ คิดเป็น 20 เปอร์เซ็นต์

ในปี 2562 ไทยยูเนี่ยนตั้งเป้าที่จะเพิ่มยอดขายปกติขึ้น 5 เปอร์เซ็นต์ และเพิ่มอัตรากำไรขั้นต้นเป็น 15 เปอร์เซ็นต์ บริษัทยังมุ่งมั่นที่จะควบคุมค่าใช้จ่ายอย่างรัดกุมต่อไป เพื่อรักษาอัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารให้อยู่ที่ระดับ 10 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งจะส่งผลให้กำไรฟื้นตัวต่อเนื่องในปีนี้

ไทยยูเนี่ยนยังคงดำเนินงานด้วยกลยุทธ์ความยั่งยืน หรือ SeaChange® อย่างต่อเนื่องในปีที่ผ่านมา และได้ร่วมมือในโครงการ Global Ghost Gear Initiative เพื่อลดปัญหาการทิ้งอุปกรณ์จับปลาในท้องทะเลทั่วโลก

ในปีที่ผ่านมา บริษัทยังได้เปิดเผยรายงานความก้าวหน้าอย่างเป็นรูปธรรม สืบเนื่องจากข้อตกลงกับกรีนพีซในปี 2560 ในการตั้งมาตรการในการจัดการกับปัญหาประมงผิดกฎหมายและการทำประมงที่มากเกินกำลังผลิตของสัตว์น้ำ โดยได้เปิดเผยรายงานความก้าวหน้าประจำปีพันธกิจการจัดการปลาทูน่าแบบยั่งยืนครั้งแรกต่อสาธารณะ เกี่ยวกับกลยุทธ์การจัดหาวัตถุดิบปลาทูน่าทั้งหมดที่ใช้ในผลิตภัณฑ์แบรนด์ของบริษัท ต้องมาจากการทำประมงอย่างยั่งยืน

การทำงานด้านความยั่งยืนของไทยยูเนี่ยนเป็นที่ยอมรับในวงกว้าง โดยบริษัทได้รับการจัดอันดับเป็นที่ 1ของโลกในหมวดอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์อาหารจากดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์หรือ DJSI และได้คะแนนสูงสุดในหัวข้อความยั่งยืนโดยรวม โดยได้รับเลือกให้ติดดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์นี้เป็นปีที่ 5 ติดต่อกันแล้ว สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นที่จะดำเนินธุรกิจที่มีกิจการทั่วโลกด้วยความยั่งยืน

นอกจากนี้ ไทยยูเนี่ยนยังได้รับคัดเลือกเป็นปีที่ 3 ติดต่อกัน ให้ติดอันดับในดัชนี FTSE4Good หมวดตลาดเกิดใหม่ ได้รับรางวัลต่างๆ มากมาย ได้แก่ รางวัล Stop Slavery Award จากมูลนิธิธอมป์สัน รอยเตอร์ส รางวัลเหรียญทอง ประเภท "การจัดการห่วงโซ่อุปทานยอดเยี่ยม" จากงาน Global Good Awards ประจำปี 2561 รางวัลด้านความยั่งยืนประจำปีจาก The Business Intelligence Group และรางวัลความรับผิดชอบต่อสังคมยอดเยี่ยมจาก FinanceAsia นอกจากนี้ ดร.แดเรียน แมคเบน ผู้อำนวยการกลุ่มองค์กรสัมพันธ์และความยั่งยืน ได้รับรางวัลผู้นำด้านความยั่งยืนแห่งปี จาก EDIE

###

เกี่ยวกับ บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)

บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เป็นผู้นำธุรกิจอาหารทะเลของโลก ซึ่ง ส่งมอบผลิตภัณฑ์อาหารทะเลที่มีนวัตกรรม รสชาติดี มีประโยชน์ต่อสุขภาพ และมีคุณภาพสูงให้กับผู้บริโภคทั่วโลกมาเป็นเวลาเกือบ 40 ปี

วันนี้ บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป ได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้ผลิตผลิตภัณฑ์ปลาทูน่าบรรจุภาชนะชนิดต่างๆ ที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยมียอดขายต่อปีมากกว่า 135 แสนล้านบาท (4.03 พันล้านเหรียญสหรัฐ) และมีพนักงานทั่วโลกรวมกันมากกว่า 49,000 คน ซึ่งล้วนทุ่มเทเพื่อผลิตภัณฑ์อาหารทะเลที่มีนวัตกรรมและมีความยั่งยืน

ไทยยูเนี่ยนเป็นเจ้าของแบรนด์ทั่วโลก ประกอบด้วย แบรนด์ที่เป็นผู้นำตลาดโลกอย่าง Chicken of the Sea, John West, Petit Navire, Parmentier, Mareblu, King Oscar และ Rügen Fisch รวมทั้งแบรนด์ชั้นนำในประเทศไทย ได้แก่ ซีเล็ค ฟิชโช คิวเฟรช โมโนริ เบลลอตต้า และมาร์โว่

จากพันธกิจในการเป็นบริษัทแห่งนวัตกรรมและดำเนินงานด้วยความรับผิดชอบทั่วโลก ไทยยูเนี่ยนภูมิใจที่ได้เป็นหนึ่งในภาคีข้อตกลงโลกแห่งสหประชาชาติ (United Nations Global Compact) และเป็นผู้ร่วมก่อตั้งมูลนิธิเพื่อความยั่งยืนของอาหารทะเลสากล (International Seafood Sustainability Foundation: ISSF) ในปี 2558 ไทยยูเนี่ยนเปิดตัวกลยุทธ์ด้านความยั่งยืน SeaChange® และดำเนินการในเรื่องดังกล่าวอย่างต่อเนื่องเรื่อยมาโดยตลอด จนส่งผลให้ไทยยูเนียนได้รับการคัดเลือกให้เป็นสมาชิกของดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์ (Dow Jones Sustainability Indices หรือ DJSI) สำหรับตลาดเกิดใหม่มาตั้งแต่ปี 2557 และในปี 2561 ไทยยูเนี่ยนได้รับเลือกให้เป็นสมาชิกของ DJSI เป็นปีที่ห้าติดต่อกัน โดยได้รับเลือกเป็นบริษัทอันดับ 1 ของกลุ่มอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์อาหาร นอกจากนี้ไทยยูเนี่ยนยังได้รับการคัดเลือกให้ติดอันดับดัชนี FTSE4Good Emerging Index และได้รับอีกหลากหลายรางวัลสำหรับการเป็นผู้นำในการทำงานด้านความยั่งยืน

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ

วิริยาภรณ์ โปษยานนท์
Head of External Communications – ฝ่ายสื่อสารองค์กร
มือถือ: +66.96.653.5542, +66.63.231.0385, +66.81.922.5135
อีเมล: Wiriyaporn.Posayanonda@thaiunion.com