ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป ฉลองความสำเร็จ 40 ปีที่ผ่านมา เน้นย้ำความยั่งยืนและนวัตกรรมเป็นกุญแจสำคัญ สำหรับการเติบโตในอนาคต

29 พฤศจิกายน 2560, กรุงเทพ — บริษัทไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หนึ่งในบริษัทอาหารทะเลชั้นนำของโลก ฉลองครบรอบ 40 ปี และจัดนิทรรศการที่รอยัล พารากอน ฮอลล์ ศูนย์การค้าสยามพารากอน เมื่อ 2 วันที่ผ่านมา โดยนิทรรศการนี้ ได้บอกเล่าประวัติและเรื่องราวความสำเร็จของบริษัทตลอดช่วง 4 ทศวรรษที่ผ่านมาให้ผู้เข้าชมได้รับทราบ โดยมีความยั่งยืนและนวัตกรรม เป็นหัวใจของการทำธุรกิจของไทยยูเนี่ยนในปัจจุบันและอนาคต

“40 ปีที่ผ่านมา เป็นเรื่องราวที่น่าจดจำอย่างมากของบริษัทและเต็มไปด้วยความสำเร็จ พวกเรามุ่งมั่นและมีบทบาทในการเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรม” นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ไทยยูเนี่ยน กล่าว “นี่เป็นเรื่องจริงที่ทำให้เห็นถึงความมุ่งมั่นและพยายามของเราในเรื่องความยั่งยืนและนวัตกรรม เมื่อผมพูดถึงความสำเร็จเหล่านี้ผมมักนึกถึงสุภาษิตที่ว่า เราไม่ได้รับโลกนี้เป็นมรดกจากบรรพบุรุษ แต่เราได้ยืมโลกนี้จากลูกหลานของเรา”

ในส่วนของนโยบายความยั่งยืนของบริษัทที่เรียกว่า SeaChange® ที่มีการประกาศไปเมื่อปี 2559 นั้น ไทยยูเนี่ยน เล็งเห็นว่าเป็นความพยายามที่จะให้ครอบคลุมทุกส่วนของธุรกิจอาหารทะเล ตั้งแต่การดูแลมหาสมุทรไปจนถึงการกำจัดขยะ ตลอดจนความรับผิดชอบที่บริษัทมีต่อแรงงานและการสร้างอนาคตที่สดใสให้กับผู้คนและสังคมที่บริษัทดำเนินธุรกิจอยู่

“การตรวจสอบย้อนกลับเป็นเรื่องหลักของนโยบายความยั่งยืนของเรา” ดร. แดเรี่ยน แมคเบน ผู้อำนวยการกลุ่มการพัฒนาที่ยั่งยืนของไทยยูเนี่ยน กล่าว “เมื่อพูดถึงความยั่งยืน กุญแจสำคัญคือความสามารถในการที่จะตรวจสอบอาหารทะเลของเราตั้งแต่การจับปลาไปจนถึงการบริโภค และด้วยการตรวจสอบย้อนกลับในทุกขั้นตอนนี้ ไทยยูเนี่ยน สามารถที่จะระบุ ตรวจสอบและปรับปรุงแก้ไขในเรื่องเกี่ยวกับแรงงานและการจัดหาได้เป็นอย่างดี”

เมื่อเดือนธันวาคม 2559 ไทยยูเนี่ยน ประกาศพันธกิจความยั่งยืนด้านปลาทูน่า เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบาย SeaChange® โดยมีวัตถุประสงค์ที่จะให้วัตถุดิบปลาทูน่า 100% ที่ใช้ในทุกผลิตภัณฑ์ของบริษัทมาจากการจัดหาด้วยวิธีการเพื่อความยั่งยืน ตามมาตรฐานสำนักงานคณะกรรมการรับรองมาตรฐานสินค้าประมง (Marine Stewardship Council : MSC) หรือมาจาก Fishery Improvement Projects (โครงการพัฒนาการประมง) ซึ่งจะพัฒนาขึ้นสู่การได้รับการรับรองตามมาตรฐาน MSC สำหรับกลยุทธ์ใหม่ด้านปลาทูน่านี้ ไทยยูเนี่ยนลงทุนมูลค่า 90 ล้านเหรียญสหรัฐ ในช่วงเริ่มต้น โดยการตั้ง Fishery Improvement Projects หรือ FIP (โครงการพัฒนาการประมง) 11 โครงการทั่วโลก เพื่อเพิ่มปริมาณปลาทูน่าอย่างยั่งยืน
 
เมื่อเดือนกรกฎาคม ที่ผ่านมา ไทยยูเนี่ยนได้ลงนามเป็นพันธมิตรกับกรีนพีซ เพื่อผลักดันเรื่องอาหารทะเลที่ความยั่งยืนและรับผิดชอบต่อสังคม เพื่อสร้างความรู้และวิสัยทัศน์ร่วมกันที่จะทำให้ทะเลมีความแข็งแรงทั้งในปัจจุบันและเพื่อคนรุ่นต่อๆไปในอนาคต ในเดือนมิถุนายน ณ ที่ประชุมเศรษฐกิจประจำปีโลก (World Economic Forum) ในนครนิวยอร์ค ไทยยูเนี่ยนได้ให้พันธสัญญาต่อแถลงการณ์การตรวจสอบย้อนกลับถึงแหล่งที่มาของปลาทูน่า ปี 2563 (Tuna 2020 Traceability Declaration) เพื่อสนับสนุนการดำเนินการตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติ (UN Sustainable Development Goals - SDGs)

นอกจากนี้ไทยยูเนี่ยน ยังได้ลงนามเป็นสมาชิกในโครงการ Seafood Business for Ocean Stewardship (SeaBOS) โดยจะมุ่งมั่นในการพัฒนาการดำเนินงาน รวมทั้งผลักดันให้ทั้งอุตสาหกรรมอาหารทะเลร่วมดำเนินตาม โดยมีเป้าหมายในการช่วยให้ทั้งโลกสามารถบรรลุเป้าหมายการพัฒนาเพื่อความยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติ

“ไทยยูเนี่ยน มองไปข้างหน้าและมุ่งมั่นที่จะดำเนินนโยบายความยั่งยืน SeaChange® อย่างต่อเนื่อง ด้วยความร่วมมือกับกรีนพีซและพันธมิตรอื่นๆ ที่จะทำให้ท้องทะเลแข็งแรงและดีขึ้นในปัจจุบันและเพื่อคนรุ่นต่อไปในอนาคต” นายธีรพงศ์ กล่าว

นิทรรศการ 40 ปีนี้ มีการนำเสนอเป้าหมายที่ชัดเจนของไทยยูเนี่ยน ที่ให้ความสำคัญกับนวัตกรรมเพื่อสร้างอนาคตของธุรกิจ ในปี 2558 ไทยยูเนี่ยนจัดตั้งศูนย์นวัตกรรมและได้ลงทุน 900 ล้านบาท เพื่อสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆ

ด้วยความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยมหิดล ศูนย์นวัตกรรม (Gii) สนับสนุนนักวิจัยในการคิดค้นและมองหาการวิจัยและเทคโนโลยี่ใหม่ๆเกี่ยวกับอาหาร โดยมุ่งพัฒนาสินค้าใหม่ บรรจุภัณฑ์ และกระบวนการผลิต เพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับธุรกิจอาหารทะเลของไทยและตอบสนองความต้องการในเรื่องโภชนาการของผู้บริโภค

ศูนย์นวัตกรรม ได้จดลิขสิทธิ์ทูน่าสไลซ์ ซึ่งให้ผู้บริโภคได้ลิ้มรสปลาทูน่าที่สดจากธรรมชาติในรูปแบบใหม่ที่สะดวกกว่า นอกจากนี้ ทางศูนย์นวัตกรรมยังเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการผลิตไส้กรอกทูน่า ให้มีรสชาติและโภชนาการมากขึ้นโดยมีไขมันเพียง 1 เปอร์เซนต์ สินค้าอาหารทั้งสองชนิดทำจากวัตถุดิบธรรมชาติ 100 เปอร์เซนต์และเริ่มขายในตลาดแล้วโดยได้รับการยอมรับจากลูกค้าทั่วโลกเป็นอย่างดี

นอกจากนี้ ศูนย์นวัตกรรมกำลังพัฒนาวัตถุดิบทางทะเล ที่จะเพิ่มการใช้ประโยชน์จากวัตถุดิบธรรมชาติ เพื่อสร้างสรรค์แหล่งโปรตีนสำหรับการบริโภคของมนุษย์และใช้ในหลากหลายสินค้า รวมถึงโภชนเภสัชที่ใช้น้ำมันทูน่าสกัด ซึ่งมีดีเอชเอ โอเมก้า 3 เหมาะสำหรับสุขภาพและพัฒนาการของทารก

“พวกเรามีความตั้งใจจริงและลงทุนอย่างมากในเรื่องนวัตกรรม เพราะเป็นสิ่งที่ช่วยให้เราส่งมอบสินค้าที่ผู้บริโภคต้องการในวันนี้และในอนาคต,” นายธีรพงศ์ กล่าวเสริม

ดร. ธัญญวัฒน์ เกษมสุวรรณ ผู้อำนวยการกลุ่มด้านนวัตกรรมของไทยยูเนี่ยน กล่าวว่า ภายในปี 2563 นวัตกรรมจะมีบทบาทมากขึ้นในธุรกิจของไทยยูเนี่ยน และคาดว่าจะสร้างรายได้ 10 เปอร์เซนต์ ของยอดขายทั้งหมดของบริษัทที่คาดไว้ที่ 8 พันล้านเหรียญดอลล่าร์สหรัฐ

จากจุดเริ่มต้นเล็กๆเมื่อปี 2520 ไทยยูเนี่ยน เติบโตขึ้นเป็นบริษัทอาหารทะเลระดับโลก มีพนักงานกว่า 49,000 คนและได้รับการยอมรับและไว้วางใจจากผู้บริโภคทั่วโลก ในช่วง 40 ปีแรก ไทยยูเนี่ยน มีการเติบโตของแบรนด์สินค้าอาหารทะเลที่ได้รับการยอมรับเพิ่มมากขึ้นและมีแหล่งผลิตสินค้าอยู่ทั่วโลก โดยรายได้จากการขายกว่า 70 เปอร์เซนต์ ของบริษัท มาจากสหรัฐอเมริกาและยุโรป

นายธีรพงศ์ กล่าวว่า ไทยยูเนี่ยน ประสบความสำเร็จและฉลองครบรอบ 40 ปี ในวันนี้ จากการทำงานหนักที่ไม่หยุดหย่อนและความตั้งใจจริงที่จะมอบอาหารทะเลที่มีคุณภาพและอุดมไปด้วยโปรตีน รวมทั้งความมุ่งมั่นในเรื่องความยั่งยืนและนวัตกรรม

“เมื่อมองไปข้างหน้า พวกเราจะมุ่งมั่นและเดินหน้าสร้างความก้าวหน้า ใช้ความเป็นผู้นำและความแข็งแกร่ง แก้ปัญหาและเผชิญสิ่งท้าทายในอนาคต” นายธีรพงศ์ กล่าว “ผมมีความสบายใจและเชื่อมั่นว่าที่ไทยยูเนี่ยน เราใช้พนักงานที่มีความสามารถทำงานที่เหมาะสม ซึ่งสิ่งนี้เป็นส่วนหนึ่งของการทำให้เกิดผลลัพธ์อย่างแท้จริงสำหรับคนรุ่นต่อไป และเรามองไปไกลอีก 40 ปีเลยทีเดียว”

###

เกี่ยวกับ บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)

บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เป็นผู้นำธุรกิจอาหารทะเลของโลก ซึ่ง ส่งมอบผลิตภัณฑ์อาหารทะเลที่มีนวัตกรรม รสชาติดี มีประโยชน์ต่อสุขภาพ และมีคุณภาพสูงให้กับผู้บริโภคทั่วโลกมาเป็นเวลาเกือบ 40 ปี

วันนี้ บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป ได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้ผลิตผลิตภัณฑ์ปลาทูน่าบรรจุภาชนะชนิดต่าง ๆ ที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยมียอดขายต่อปีมากกว่า 125 พันล้านบาท (3.7 พันล้านเหรียญสหรัฐ) และมีพนักงานทั่วโลกรวมกันมากกว่า 46,000 คน ซึ่งล้วนทุ่มเทเพื่อผลิตภัณฑ์อาหารทะเลที่มีนวัตกรรมและมีความยั่งยืน

ไทยยูเนี่ยนเป็นเจ้าของแบรนด์ทั่วโลก ประกอบด้วย แบรนด์ที่เป็นผู้นำตลาดโลกอย่าง Chicken of the Sea, John West, Petit Navire, Parmentier, Mareblu, King Oscar และ Rügen Fisch รวมทั้งแบรนด์ชั้นนำในประเทศไทย ได้แก่ ซีเล็ค ฟิชโช เบลลอตต้า และมาร์โว่

จากพันธกิจในการเป็นบริษัทแห่งนวัตกรรมและดำเนินงานด้วยความรับผิดชอบทั่วโลก ไทยยูเนี่ยนภูมิใจที่ได้เป็นหนึ่งในภาคีข้อตกลงโลกแห่งสหประชาชาติ (United Nations Global Compact) และเป็นผู้ร่วมก่อตั้งมูลนิธิเพื่อความยั่งยืนของอาหารทะเลสากล (International Seafood Sustainability Foundation: ISSF) ในปี 2558 ไทยยูเนี่ยนเปิดตัวกลยุทธ์ด้านความยั่งยืน SeaChange® และดำเนินการในเรื่องดังกล่าวอย่าง

ต่อเนื่องเรื่องมาโดยตลอดในเรื่องดังกล่าว จนส่งผลโดยรวมให้ไทยยูเนียนได้รับการคัดเลือกให้เป็นสมาชิกของดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์ (Dow Jones Sustainability Indices หรือ DJSI) สำหรับตลาดเกิดใหม่มาตั้งแต่ปี 2557 และในปี 2560 ไทยยูเนี่ยนได้รับเลือกให้เป็นสมาชิกของ DJSI เป็นปีที่สี่ติดต่อกัน  นอกจากนี้ไทยยูเนี่ยนได้รับการคัดเลือกให้ติดอันดับดัชนี  FTSE4Good Emerging Index เมื่อเร็วๆ นี้อีกด้วยด้วย http://seachangesustainability.org.

ติดต่อสอบถาม

คุณกฤษณา ปานสุนทร
Head of External Affairs, Thai Union Group PCL
M: +66.61.418.1461
E: Krissana.Parnsoonthorn@thaiunion.com 

คุณจารุณี แตมสำราญ
Corporate Communications, Thai Union Group PCL
M: +66.65.517.4085
E: Jarunee.Taemsamran@thaiunion.com