ไทยยูเนี่ยนชี้ยอดขายไตรมาส 3 เติบโตต่อเนื่อง ชูกลยุทธ์ธุรกิจที่เน้นความหลากหลาย หลังสถานการณ์โควิดของโลกเริ่มคลี่คลาย

  • ยอดขายไตรมาส 3 เติบโตต่อเนื่อง อยู่ที่ 35,539 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.2 เปอร์เซ็นต์
  • กำไรขั้นต้นไตรมาส 3 อยู่ 6,391 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1 เปอร์เซ็นต์
  • กำไรสุทธิไตรมาส 3 อยู่ที่ 1,937 ล้านบาท ลดลง 5.8 เปอรเซ็นต์

กรุงเทพฯ– 8 พฤศจิกายน 2564 – บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) รายงานผลประกอบการในไตรมาส 3 ประจำปี 2564 ยังคงแข็งแรงด้วยยอดขายและกลยุทธ์ธุรกิจที่เน้นความหลากหลาย สอดรับกับสถานการณ์โลกที่เริ่มคลี่คลาย และมีการดำเนินชีวิตปกติในรูปแบบต่างๆ มากขึ้น ทั้งการกลับเข้าทำงานในสำนักงาน การรับประทานอาหารในร้านอาหารและกิจกรรมนอกบ้าน

ยอดขายในช่วงเดือนกรกฎาคมถึงเดือนกันยายนอยู่ที่ 35,539 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.2 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อนหน้า และมีกำไรขั้นต้นเติบโตอยู่ที่ระดับ 1 เปอร์เซ็นต์อยู่ที่ 6,391 ล้านบาท กำไรสุทธิแม้จะลดลง 5.8 เปอร์เซ็นต์ แต่ยังคงทำผลงานได้อย่างเข้มแข็งอยู่ที่ 1,937 ล้านบาทสำหรับไตรมาส 3 นี้

สำหรับภูมิภาคยุโรปและอเมริกาเหนือซึ่งถือเป็นตลาดที่สำคัญของธุรกิจไทยยูเนี่ยน สถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย มีการผ่อนปรนจากการล็อคดาวน์และข้อจำกัดต่างๆ ผู้บริโภคจึงจับจ่ายสินค้าผลิตภัณฑ์อาหารกระป๋องน้อยลง ส่งผลให้ธุรกิจอาหารทะเลบรรจุกระป๋องของไทยยูเนี่ยนมียอดขาย อยู่ที่ 14,954 ล้านบาท ลดลง 8 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า

อย่างไรก็ดี จากสถานการณ์การแพร่ระบาดทั่วโลกที่เริ่มคลี่คลาย ประกอบกับการที่ร้านอาหารต่างๆ เริ่มกลับมาเปิดให้บริการมากขึ้น โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกานั้น ทำให้ยอดขายของธุรกิจอาหารทะเลแช่แข็งและแช่เย็นเติบโตขึ้นถึง 11 เปอร์เซ็นต์อยู่ที่ 14,843 ล้านบาท ในขณะที่ธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง สินค้าเพิ่มมูลค่า รวมถึงธุรกิจบรรจุภัณฑ์และสินค้าอื่นๆ ยังคงมียอดขายที่แข็งแกร่ง เติบโต 11.4 เปอร์เซ็นต์อยู่ที่ 5,742 ล้านบาทในไตรมาส 3 นี้

ผลประกอบการในไตรมาส 3 ปี 2564 นี้ มีผลงานที่ดีมากเมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกัน ในปี 2562 ก่อนเกิดสถานการณ์การแพร่ระบาด โดยในปี 2562 นั้นไตรมาส 3 มียอดขายอยู่ที่ 31,838 ล้านบาท และกำไรขั้นต้น 5,077 ล้านบาท

สำหรับผลประกอบการ 9 เดือนแรกของปี 2564 นั้น มียอดขายอยู่ที่ 102,547 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.6 เปอร์เซ็นต์ และมีกำไรสุทธิ อยู่ที่ 6,083 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 27 เปอร์เซ็นต์

นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ไทยยูเนี่ยนยังคงมีผลประกอบการที่แข็งแกร่งในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2564 โดยธุรกิจหลักของเราสามารถทำผลงานได้ดีสม่ำเสมอ ผู้บริโภคได้ให้ความเชื่อมั่นในสินค้าของเราที่เน้นสุขภาพและโภชนาการในช่วงเวลาที่ผู้คนทั่วโลกต่างได้รับผลกระทบจากโควิด-19 และผมรู้สึกภูมิใจที่แม้สถานการณ์จะเริ่มคลี่คลายลง แบรนด์และสินค้าของเราก็ยังได้ความเชื่อมั่นอย่างต่อเนื่อง ไทยยูเนี่ยนยังคงเดินหน้าขยายธุรกิจไปยังธุรกิจที่มีอัตราการทำกำไรที่สูงขึ้น และสอดคล้องไปกับเป้าหมายของบริษัทในการที่จะดูแลสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีให้กับผู้คนไปพร้อมกับการดูแลอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเลให้อุดมสมบูรณ์ต่อไป”

ไทยยูเนี่ยนยังคงให้ความสำคัญกับกลยุทธ์ธุรกิจที่เน้นความหลากหลาย ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ผลประกอบการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง ในเดือนกันยายนที่ผ่านมา ไทยยูเนี่ยนได้ประกาศเข้าลงทุนเชิงกลยุทธ์ 10 เปอร์เซ็นต์ เป็นมูลค่าประมาณ 3 พันล้านบาท ในบริษัท อาร์ แอนด์ บี ฟู้ด ซัพพลาย จำกัด (มหาชน) หรือ อาร์บีเอฟ ซึ่งเป็นบริษัทผู้เชี่ยวชาญในธุรกิจวัตถุดิบที่ใช้เป็นส่วนผสมในอาหาร ทั้งวัตถุแต่งรส สี และสารปรุงแต่งอาหารหลากหลายชนิด อาร์บีเอฟมีความเชี่ยวชาญในนวัตกรรมผลิตส่วนผสมในอาหารต่างๆ เช่น วัตถุแต่งกลิ่นธรรมชาติ หรือสารสกัดจากกัญชง จะช่วยเสริมทั้งในส่วนของสินค้าหลักและผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ของไทยยูเนี่ยน รวมไปถึงสินค้าโปรตีนทางเลือกและอาหารสัตว์เลี้ยง ในเดือนเดียวกันนี้ ไทยยูเนี่ยนยังได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจเพื่อจัดตั้งบริษัทร่วมทุนกับ บริษัท สตาร์เฟล็กซ์ จำกัด (มหาชน) ผู้ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายบรรจุภัณฑ์พลาสติกชนิดอ่อนคุณภาพสูง เพื่อจัดตั้งบริษัทร่วมทุน และความร่วมมือนี้จะมีส่วนสำคัญในการบรรลุเป้าหมายของไทยยูเนี่ยนในการใช้บรรจุภัณฑ์ที่สามารถนำกลับมาใช้ซ้ำ รีไซเคิลและย่อยสลายได้ ทั้งหมด 100 เปอร์เซ็นต์สำหรับผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์ของบริษัท ภายในปี 2568

นอกจากนี้ไทยยูเนี่ยนยังได้รับการยอมรับในด้านความสามารถในการแข่งขันและความแข็งแกร่งของธุรกิจ โดยการได้รับการจัดอันดับเครดิตจาก ทริส เรทติ้ง อยู่ที่ระดับ A+ ด้วยแนวโน้มเป็นบวก และได้รับการจัดอันดับเครดิตจาก Japan Credit Rating อยู่ที่ระดับ A- ซึ่งเป็นการจัดอันดับเครดิตองค์กร สำหรับตราสารหนี้ระยะยาวสกุลเงินต่างประเทศ โดยแนวโน้มของเครดิตอยู่ในระดับคงที่ และอันดับเครติดองค์กร A- ที่บริษัทได้รับนั้นเป็นระดับเดียวกันกับที่ประเทศไทยได้รับ ในฐานะผู้นำธุรกิจอาหารทะเลระดับโลกที่มีธุรกิจกระจายตัวทั่วโลกและมีความมั่นคงทางรายได้

ไทยยูเนี่ยนยังคงมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนด้วยการเงิน Blue Finance หรือการจัดหาเงินทุนสำหรับโครงการที่เป็นประโยชน์ต่อมหาสมุทรและอุตสาหกรรมอาหารทะเลโดยรวม ในไตรมาส 3 นี้ ไทยยูเนี่ยนได้ออกหุ้นกู้ส่งเสริมความยั่งยืนอายุ 7 ปีในประเทศไทยและมีจำนวนยอดจองซื้อมากกว่า 2.23 เท่า โดยเมื่อต้นปีไทยยูเนี่ยนได้ออกสินเชื่อส่งเสริมความยั่งยืนในประเทศไทยและญี่ปุ่น

“ไทยยูเนี่ยนยังคงดูแลการเงินของเราอย่างต่อเนื่องและตอบรับนวัตกรรมทางการเงิน ด้วยกลยุทธ์ Blue Finance เราได้ตั้งเป้าในการบริหารจัดการการเงินของบริษัทให้เชื่อมโยงกับความยั่งยืนได้ถึง 50 เปอร์เซ็นต์ภายในปี 2565” นายธีรพงศ์กล่าว

ในไตรมาสเดียวกันนี้ ไทยยูเนี่ยนได้ประกาศเปลี่ยนชื่อบริษัท สงขลาแคนนิ่ง จำกัด (มหาชน) หนึ่งในบริษัทในเครือ เป็นบริษัท ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เพื่อรองรับการพัฒนาและขยายกิจการในกลุ่มธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง

แม้สถานการณ์โควิด-19 จะคลี่คลายลงในไตรมาส 3 ไทยยูนี่ยนยังคงเดินหน้าดูแลชุมชนอย่างต่อเนื่อง โดยช่วงระหว่างเดือนเมษายนถึงเดือนสิงหาคม 2564 บริษัทได้มอบอาหารมากกว่า 326,000 ชุดให้กับชุมชน ภายใต้โครงการไทยยูเนี่ยนแคร์ ผ่านหน่วยงานภาครัฐ องค์กรอิสระ โรงพยาบาลและมูลนิธิต่างๆ นอกจากนี้ ไทยยูเนี่ยนยังได้ส่งมอบอาหารมากกว่า 3.3 ล้านชุดให้กับชุมชนต่างๆ ทั่วโลก และมอบอาหารแมวเบลล็อตต้า และอาหารสุนัขมาร์โว่ ไปแล้วกว่า 78,000 กระป๋อง และอาหารสุนัขชนิดเม็ดมากกว่า 4,000 กิโลกรัม ให้กับสถานที่พักพิงสัตว์ องค์กรสัตว์เลี้ยง และอาสาสมัครทั่วประเทศไทย