ไทยยูเนี่ยน เร่งผลักดันเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ผ่านความยั่งยืนด้านอาหารทะเล เพื่อปกป้องมหาสมุทรของโลก

บรรยายภาพ: บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เรียกร้องให้มีการดำเนินการที่มากขึ้นในเรื่องของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพื่อความอุดมสมบูรณ์ของมหาสมุทรโลก ซึ่งสามารถทำให้ดีขึ้นจากความร่วมมือที่เพิ่มขึ้นและมุ่งเน้นผลลัพธ์ไปที่มหาสมุทร

8 พฤศจิกายน 2562, กรุงเทพ – ดร. แดเรี่ยน แมคเบน ผู้อำนวยการกลุ่มส่งเสริมกิจการองค์กรและความยั่งยืน บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เรียกร้องให้มีการดำเนินการที่มากขึ้นในเรื่องของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยให้เหตุผลว่า ระบบนิเวศทางทะเลและการฟื้นฟูชายฝั่ง และความยั่งยืนของอาหารทะเลที่มากขึ้น จะสามารถทำให้ความอุดมสมบูรณ์ของมหาสมุทรโลกดีขึ้น

ในงานประชุม Asia Pacific Day for the Ocean ซึ่งจัดโดย United Nations Economic and Social Commission for Asia and the Pacific ดร. แดเรี่ยนได้กล่าวถึง การดำเนินงานของไทยยูเนี่ยนภายใต้กลยุทธ์ความยั่งยืน ที่เรียกว่า SeaChange® ที่ได้มีการพัฒนาโครงการผู้นำอุตสาหกรรมที่จะช่วยปกป้องมหาสมุทร

“การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้นำมาซึ่งความเสียหายอย่างมากต่อมหาสมุทรโลก และจะเป็นภัยคุกคามต่อความสามารถของมหาสมุทรในการเป็นแหล่งอาหาร รวมถึงวิถีชีวิตและความปลอดภัยของผู้คนที่อาศัยอยู่บริเวณชายฝั่งนับพันล้าน” ดร. แดเรี่ยน กล่าวในงานประชุม “จากความท้าทายที่มายมากเหล่านี้ แต่ดิฉันเชื่อว่า ด้วยความร่วมมือที่มากขึ้นและมุ่งเน้นผลลัพธ์ของมหาสมุทร เราจะสามารถทำให้มหาสมุทรของโลกมีความอุดมสมบูรณ์มากขึ้น

ดร. แดเรี่ยน กล่าวว่า ในฐานะที่เป็นหนึ่งในบริษัทอาหารทะเลที่ใหญ่ที่สุดของโลก ไทยยูเนี่ยนได้นำเอาเรื่องเหล่านั้นเป็นความรับผิดชอบอย่างจริงจังในการเป็นผู้นำขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกในอุตสาหกรรมอาหารทะเลของโลก

ดร. แดเรี่ยน กล่าวต่อในงานประชุมว่า “หนึ่งในเสาหลักที่สำคัญของกลยุทธ์ SeaChange® คือ การจัดหาวัตถุดิบด้วยความรับผิดชอบ และการตรวจสอบย้อนกลับถึงแหล่งที่มาของวัตถุดิบคือ ส่วนสำคัญยิ่งที่ทำให้ไทยยูเนี่ยนติดตามแต่ละผลิตภัณฑ์กลับไปยังแหล่งที่มาได้ การตรวจสอบย้อนกลับถึงแหล่งที่มาของวัตถุดิบยังเป็นแกนหลักสำคัญของความยั่งยืน และเป็นส่วนสำคัญในกลยุทธ์ความยั่งยืนของเราเพื่อทำให้ความอุดมสมบูรณ์มหาสมุทรดีขึ้นในวันนี้และเพื่อคนรุ่นต่อไปในอนาคต”

ไทยยูเนี่ยนมีโครงการมากมายที่มีการตั้งเป้าหมายเพื่อปกป้องมหาสมุทร เช่น เป้าหมายที่ทุกผลิตภัณฑ์แบรนด์ทูน่าต้องมาจากแหล่งวัตถุดิบที่มีการทำประมงด้วยความรับผิดชอบ คือมาจากการทำประมงที่ได้การรับรองมาตรฐานจาก Marine Stewardship Council หรือจากการเข้าร่วมในโครงการพัฒนาการประมง (FIPs) เพื่อยกระดับไปสู่การได้รับการรับรองมาตรฐาน Marine Stewardship Council โดยมีเป้าหมายการดำเนินการให้ได้อย่างน้อง 75 เปอร์เซ็นต์ ภายในปลายปี 2563

ในส่วนของการดำเนินงานด้านการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำของไทยยูเนี่ยน ปีนี้บริษัทได้มีการทดลองใช้ผลิตภัณฑ์ฟีดไคน์ โปรตีนของบริษัท คาลิสตา สำหรับฟาร์มเลี้ยงกุ้งในเชิงพาณิชย์ เพื่อแทนที่การใช้ปลาป่นที่มาจากการจับปลาแบบธรรมชาติเฉพาะที่จับสำหรับโปรตีนในอาหารกุ้ง

นอกจากนี้ ไทยยูเนี่ยนเป็นหนึ่งในสมาชิกผู้ก่อตั้ง Seafood Business for Ocean Stewardship (SeaBOS) ซึ่งเป็นองค์กรที่นำนักวิทยาศาสตร์จาก Stockholm Resilience Centre ของ มหาวิทยาลัยสตอกโฮล์ม ราชบัณฑิตสภาทางวิทยาศาสตร์ ที่ประเทศสวีเดน และบริษัทอาหารทะเลที่ใหญ่ที่สุดของโลก 10 บริษัท โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงของโลกที่มีต่อการผลิตอาหารทะเลที่ยั่งยืนและความอุดมสมบูรณ์ของมหาสมุทร

เมื่อเดือนที่ผ่านมา ไทยยูเนี่ยนได้รับการจัดอันดับโดยดัชนี Seafood Stewardship Index (SSI) เป็นอันดับที่ 1 จาก 30 บริษัทอาหารทะเลที่ใหญ่ที่สุดทั่วโลก ซึ่งประเมินจากการทำงานที่ตอบโจทย์เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติ

และในปี 2561 ไทยยูเนี่ยนเข้าร่วมในโครงการ Global Ghost Gear Initiative (GGGI) เพื่อลดปัญหาการทิ้งขยะพลาสติก และปัญหาการทิ้งอุปกรณ์จับปลาและอุปกรณ์สูญหายกลางทะเลทั่วโลก

###

เกี่ยวกับ บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)

บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เป็นผู้นำธุรกิจอาหารทะเลของโลก ซึ่ง ส่งมอบผลิตภัณฑ์อาหารทะเลที่มีนวัตกรรม รสชาติดี มีประโยชน์ต่อสุขภาพ และมีคุณภาพสูงให้กับผู้บริโภคทั่วโลกมาเป็นเวลาเกือบ 40 ปี

วันนี้ บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป ได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้ผลิตผลิตภัณฑ์ปลาทูน่าบรรจุภาชนะชนิดต่างๆ ที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยมียอดขายต่อปีมากกว่า 1.33 แสนล้านบาท (4.1 พันล้านเหรียญสหรัฐ) และมีพนักงานทั่วโลกรวมกันมากกว่า 47,000 คน ซึ่งล้วนทุ่มเทเพื่อผลิตภัณฑ์อาหารทะเลที่มีนวัตกรรมและมีความยั่งยืน

ไทยยูเนี่ยนเป็นเจ้าของแบรนด์ทั่วโลก ประกอบด้วย แบรนด์ที่เป็นผู้นำตลาดโลกอย่าง Chicken of the Sea, John West, Petit Navire, Parmentier, Mareblu, King Oscar และ Rügen Fisch รวมทั้งแบรนด์ชั้นนำในประเทศไทย ได้แก่ ซีเล็ค ฟิชโช คิวเฟรช โมโนริ เบลลอตต้า และมาร์โว่

จากพันธกิจในการเป็นบริษัทแห่งนวัตกรรมและดำเนินงานด้วยความรับผิดชอบทั่วโลก ไทยยูเนี่ยนภูมิใจที่ได้เป็นหนึ่งในภาคีข้อตกลงโลกแห่งสหประชาชาติ (United Nations Global Compact) และเป็นผู้ร่วมก่อตั้งมูลนิธิเพื่อความยั่งยืนของอาหารทะเลสากล (International Seafood Sustainability Foundation: ISSF) ในปี 2558 ไทยยูเนี่ยนเปิดตัวกลยุทธ์ด้านความยั่งยืน SeaChange® และดำเนินการในเรื่องดังกล่าวอย่างต่อเนื่องเรื่อยมาโดยตลอด ทำให้ในปี 2561 และ 2562 ไทยยูเนี่ยนได้เป็นผู้นำอันดับ 1 กลุ่มอุตสาหกรรมของโลกในหมวด Food Industry จากดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์ และประสบความสำเร็จในการได้รับคะแนนเปอร์เซ็นไทล์สูงสุดที่ 100 ในคะแนนด้านความยั่งยืนทั้งหมด ปัจจุบันไทยยูเนี่ยนได้รับการคัดเลือกให้เป็นสมาชิกของดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์ เป็นปีที่ 6 ติดต่อกัน นอกจากนี้ไทยยูเนี่ยนยังได้รับการคัดเลือกให้ติดอันดับดัชนี FTSE4Good Emerging Index ในปี 2561 อีกด้วย

ข้อมูลเพิ่มเติมโปรดติดต่อ

วิริยาภรณ์ โปษยานนท์ (แป๋ม)
อีเมล์ wiryaporn.posayanonda@thaiunion.com
โทร +66.81.922.5135

จิรวัส มนตรีวงค์ (ดิว)
อีเมล์ Jirawat.montreevong@thaiunion.com
โทร +66.80.976.4613