ไทยยูเนี่ยนเดินหน้าเพิ่มขีดความสามารถในการผลิต เปิดตัวคลังสินค้าเย็นขนาด 8,000 ตัน แห่งใหม่ในกานา

คลังสินค้าเย็น แห่งใหม่ของไทยยูเนี่ยน ซึ่งอยู่ใกล้กับโรงงาน PFC ณ เมืองเทมา ประเทศกานา
เทมา (กานา) – 25 กรกฎาคม 2567 – บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เปิดตัวคลังสินค้าเย็น (Cold Store) แห่งใหม่ของบริษัทฯ ที่มีความจุถึง 8,000 ตัน ใช้เม็ดเงินลงทุน ราว 14 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับโรงงาน Pioneer Food Cannery (PFC) ของบริษัทฯ ในประเทศกานา โดยคลังสินค้านี้จะช่วยให้บริษัทสามารถบริหารจัดการควบคุมอุณหภูมิสินค้า รักษาคุณภาพปลาทูน่าจากมหาสมุทรแอตแลนติกให้ได้คุณภาพตามมาตรฐานของโรงงาน ตลอดจนสามารถบริหารจัดการสินค้าให้มีเพียงพอต่อการผลิตของโรงงานต่อเนื่องตลอดทั้งปี เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจของไทยยูเนี่ยนมากยิ่งขึ้น

นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ยังคงเดินหน้าลงทุนเพื่อเพิ่มศักยภาพทางธุรกิจในประเทศกานา

นายจอห์นนี่ ลาดูเซ ผู้อำนวยการโรงงาน PFC กล่าวถึงความสำคัญของโรงงาน PFC ซึ่งมีพนักงาน 1,100 คน ผลิตสินค้าให้กับแบรนด์ชั้นนำในตลาดทั่วทวีปยุโรป

นายธีรพงศ์ จันศิริ ทำพิธีตัดริบบิ้นและเปิดคลังสินค้าเย็น ของ Pioneer Food Cannery อย่างเป็นทางการที่เมืองเทมา ประเทศกานา

(จากซ้ายไปขวา) นายซามูเอล เอ็น. เค. ควอร์เตย์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงประมง, นายอาชาย โอดัมเพน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเขตเทมาอีสต์, นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน), นายอับดุล-อาซิซ มูซาห์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงประมงและการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ, นายจอห์นนี่ ลาดูเซ ผู้อำนวยการโรงงาน PFC
สำหรับการเปิดคลังสินค้าเย็นแห่งใหม่ในครั้งนี้ คลังสินค้าเย็นแห่งนี้จะมีขนาด 4 ห้อง มาพร้อมพื้นที่คัดแยกและสิ่งอำนวยความสะดวกในการทำงาน ช่วยรองรับการเติบโตได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ช่วยให้ไทยยูเนี่ยนและ PFC สามารถบริหารจัดการกำลังการผลิตให้สอดคล้องกับปริมาณและความต้องการสินค้าได้ตลอดทั้งปี เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตของโรงงานให้เกิดประสิทธิผลสูงสุด ไทยยูเนี่ยนได้รับเกียรติจาก นายอับดุล-อาซิซ มูซาห์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงประมงและการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ นายซามูเอล เอ็น. เค. ควอร์เตย์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงประมง นายอาชาย โอดัมเพน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเขตเทมาอีสต์ นายจอห์นนี่ ลาดูเซ ผู้อำนวยการโรงงาน PFC เข้าร่วมเปิดงานพร้อมแสดงความยินดี โดย
นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ปัจจุบันโรงงาน PFC มีบทบาทในฐานะผู้ผลิตสินค้าให้กับแบรนด์ต่าง ๆ ของไทยยูเนี่ยนทั้งในยุโรปและสหรัฐอเมริกา โดยการลงทุนครั้งนี้จะช่วยรักษาความมั่นคงในห่วงโซ่อุปทาน เพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขัน เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้า นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีแผนการลงทุนด้านความยั่งยืนเพิ่มเติมในโรงงาน PFC เพื่อให้สอดคล้องกับกลยุทธ์ยั่งยืน SeaChange® 2030 เช่น การติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ การปรับปรุงระบบภายในโรงงานเพื่อลดของเสียฝังกลบเป็นศูนย์ ลดการปล่อยน้ำทิ้งเป็นศูนย์ และลดการสูญเสียอาหารเป็นศูนย์
นายจอห์นนี่ ลาดูเซ ผู้อำนวยการโรงงาน PFC กล่าวว่า “คลังสินค้าเย็นแห่งใหม่เป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินงานอย่างยั่งยืน เพราะด้วยที่ตั้งของคลังที่อยู่ใกล้กับโรงงานจึงช่วยลดระยะเวลาในการขนส่งสินค้าและลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสู่สิ่งแวดล้อม ขณะเดียวกัน การมีคลังสินค้าเย็นขนาดใหญ่เพียงพอยังทำให้เรามั่นใจได้ว่าจะมีปลาทูน่าเพียงพอกับความต้องการของคู่ค้าและผู้บริโภคตลอดทั้งปี นอกจากนี้ เรายังคงเดินหน้าตามพันธกิจที่ให้ไว้กับประเทศกานา คือ การดูแลชุมชนผ่านการสร้างงานในพื้นที่ทั้งทางตรงและทางอ้อมให้เกิดขึ้นในเมืองเทมาอีกด้วย”
เดิมโรงงาน PFC ใช้การเช่าคลังสินค้าเย็นที่กระจายอยู่ทั่วเมือง การสร้างคลังสินค้าเย็นใหม่เป็นของตัวเองที่อยู่ใกล้กับโรงงานจึงช่วยประหยัดต้นทุนค่าเช่าพื้นที่ ลดจำนวนเที่ยวการวิ่งของรถบรรทุกขนส่งสินค้าและวัตถุดิบ สามารถควบคุมคุณภาพของสินค้าได้อย่างเต็มที่ เนื่องจากทุกอย่างผ่านกระบวนการภายในบริษัทตั้งแต่การเก็บรักษาจนถึงการจัดส่ง นับเป็นการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของ PFC ให้ดียิ่งขึ้น
โรงงาน PFC เปิดดำเนินกิจการมาตั้งแต่ปี 2516 และไทยยูเนี่ยนได้เข้าซื้อธุรกิจในปี 2553 นับเป็นโรงงานที่ใหญ่เป็นอันดับสองของไทยยูเนี่ยน โดยตั้งอยู่ในทวีปแอฟริกา และมีพนักงานราว 1,100 คน ปัจจุบันโรงงาน PFC เป็นผู้ผลิตสินค้าแบรนด์ชั้นนำระดับโลกของกลุ่ม เช่น แบรนด์ John West ที่เป็นอันดับ 1 ในสหราชอาณาจักรและเนเธอร์แลนด์, แบรนด์ Petit Navire อันดับ 1 ในฝรั่งเศส, MareBlu อันดับ 2 ในอิตาลี นอกจากนี้ ยังมีกลุ่มที่เป็นตราสินค้าเฉพาะ (Private Label) ทั่วทั้งยุโรป รวมถึง ผลิตสินค้าแบรนด์ Starkist ซึ่งเป็นแบรนด์ของ PFC และยังเป็นแบรนด์ผู้นำตลาดปลาทูน่ากระป๋องในประเทศกานาอีกด้วย
###
เกี่ยวกับ บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)
บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เป็นผู้นำด้านอาหารทะเลระดับโลกที่นำผลิตภัณฑ์อาหารทะเลคุณภาพสูง ดีต่อสุขภาพ อร่อย และสร้างสรรค์ มาสู่ลูกค้าทั่วโลกมา 47 ปี
ปัจจุบัน ไทยยูเนี่ยนถือได้ว่าเป็นหนึ่งในผู้ผลิตอาหารทะเลชั้นนำของโลกและเป็นหนึ่งในผู้ผลิตปลาทูน่าในบรรจุภัณฑ์ชนิดต่างๆ ที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยมียอดขายต่อปีเกินกว่า 136,153 ล้านบาท (3,912 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) และแรงงานทั่วโลกกว่า 44,000 คน ที่ทุ่มเทให้กับการบุกเบิกผลิตภัณฑ์อาหารทะเลที่สร้างสรรค์และยั่งยืน
ปัจจุบันไทยยูเนี่ยนเป็นเจ้าของแบรนด์ทั่วโลก ประกอบด้วย แบรนด์ที่เป็นผู้นำตลาดโลกอย่าง Chicken of the Sea, John West, Petit Navire, Parmentier, Mareblu, King Oscar, Hawesta และ Rügen Fisch รวมทั้งแบรนด์ชั้นนำในประเทศไทย ได้แก่ ซีเล็ค ฟิชโช คิวเฟรช โมโนริ OMG MEAT เบลลอตต้า และมาร์โว่ นอกจากนี้ยังมีส่วนประกอบอาหารภายใต้แบรนด์ UniQ®BONE และ UniQ®DHA และผลิตภัณฑ์อาหารเสริมเพื่อสุขภาพแบรนด์ ZEAvita
ไทยยูเนี่ยนมีเป้าหมายเพื่อสร้าง "การมีสุขภาพที่ดีและท้องทะเลที่อุดมสมบูรณ์, Healthy Living, Healthy Oceans" โดยให้ความสำคัญกับสุขภาพผู้คน ควบคู่ไปกับการอนุรักษ์ท้องทะเล เราภาคภูมิใจในการเป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลงโลกแห่งสหประชาชาติ (United Nations Global Compact: UNGC) พร้อมทั้งเป็นผู้ร่วมก่อตั้งมูลนิธิเพื่อความยั่งยืนของอาหารทะเลสากล (International Seafood Sustainability Foundation: ISSF) และได้รับเกียรติเป็นเป็นประธาน SeaBOS หรือ Seafood Business for Ocean Stewardship
ไทยยูเนี่ยนได้ประกาศกลยุทธ์ความยั่งยืน SeaChange® 2030 พร้อมขยายขอบเขตการทำงานด้านความยั่งยืนให้ครอบคลุมมิติของผู้คนและสิ่งแวดล้อม ไทยยูเนี่ยนดำเนินงานด้านความยั่งยืนโดยยึดหลักกลยุทธ์ SeaChange® ที่ได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติ จากผลการประเมินงานด้านความยั่งยืนปี 2565 บริษัทได้รับการคัดเลือกให้เป็นสมาชิกของดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์ (Dow Jones Sustainability Indices: DJSI) สำหรับตลาดเกิดใหม่เป็นปีที่ 10 ติดต่อกัน และยังได้รับการจัดอันดับในดัชนี Seafood Stewardship Index (SSI) เป็นอันดับหนึ่ง 3 ปีติดต่อกัน และในปี 2566 ได้รับการจัดอันดับอยู่ใน S&P Global Sustainability Yearbook 2023 ตลอดจนได้รับผลการประเมินดัชนีชี้วัดความยั่งยืนระดับ B จากสถาบันประเมินความยั่งยืนที่น่าเชื่อถือระดับโลก Carbon Disclosure Project (CDP) สะท้อนความความโปร่งใสและการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ นอกจากนี้ในปี 2567 ไทยยูเนี่ยนยังได้รับการคัดเลือกให้ติดอันดับดัชนี FTSE4Good Emerging Index เป็นปีที่ 9 ติดต่อกัน สามารถติดตามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการดำเนินธุรกิจแบบยั่งยืนได้ที่ seachangesustainability.org.