SPACE-F เปิดตัว Global FoodTech Accelerator and Incubator รุ่นที่ 5 ผลักดันนวัตกรรม รับมือความท้าทายในอุตสาหกรรมอาหาร

กรุงเทพฯ 21 มิถุนายน 2567 SPACE-F โครงการ FoodTech ที่บ่มเพาะและเร่งการเติบโต (incubator and accelerator program) สตาร์ทอัพระดับสากลแห่งแรกของประเทศไทย ได้เปิดตัว Accelerator และ Incubator รุ่นที่ 5 โดยมีเป้าหมายในการสนับสนุนนวัตกรรมโซลูชันสำหรับอุตสาหกรรมอาหาร เพื่อแก้ไขปัญหาภายในอุตสาหกรรมทั้งในปัจจุบันและอนาคต
สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) (NIA) บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) มหาวิทยาลัยมหิดล พร้อมพันธมิตรโครงการฯ ได้แก่ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) บริษัท ล็อตเต ไฟน์ เคมิคอล จำกัด และบริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด เดินหน้าโครงการ SPACE-F รุ่นที่ 5 ซึ่งเป็นโครงการบ่มเพาะและเร่งการเติบโตทางธุรกิจเทคโนโลยีอาหารระดับโลกแห่งแรกของประเทศไทย ที่มุ่งส่งเสริมและสนับสนุนสตาร์ทอัพธุรกิจเทคโนโลยีอาหารที่พัฒนาผลิตภัณฑ์นวัตกรรม รองรับความท้าทายในปัจจุบันและอนาคต โดยในปีนี้มีสตาร์ทอัพเข้าร่วมโครงการ ทั้งสิ้น 20 ราย แบ่งออกเป็น โครงการ Incubator program 10 ราย และ โครงการ Accelerator program 10 ราย
โดยธุรกิจสตาร์ทอัพที่เข้าร่วมโครงการจะได้รับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญ โอกาสในการเข้าถึงเครือข่ายและแหล่งเงินทุน เพื่อการเติบโตของธุรกิจ นอกจากนี้ ทุกทีมที่เข้าร่วมโครงการยังสามารถเข้าใช้สถานที่และสิ่งอำนวยความสะดวกที่คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล รวมถึงโอกาสในการสร้างผลิตภัณฑ์เข้าสู่ตลาดร่วมกับบริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ผู้นำอุตสาหกรรมอาหารทะเลระดับโลก
ดร.กริชผกา บุญเฟื่อง ผู้อำนวยการสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) (NIA) กล่าวในงานเปิดตัวว่า
“โครงการ SPACE-F ได้ให้การส่งเสริมและสนับสนุนทั้งการบ่มเพาะ และให้องค์ความรู้ในการพัฒนาธุรกิจนวัตกรรมร่วมกับเครือข่ายจากสถาบันการศึกษา และภาคเอกชนชั้นนำ อย่าง บริษัทไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) และมหาวิทยาลัยมหิดล อีกทั้ง NIA ยังมีกลไกการสนับสนุนด้านเงินทุนในโครงการนวัตกรรมแบบเปิด (Open Innovation) เพื่อให้สตาร์ทอัพต่อยอดพัฒนาต้นแบบ สร้างแพลตฟอร์มที่ดึงดูดสตาร์ทอัพที่พัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมทางด้านอาหาร ที่มีการเตรียมการระบบนิเวศ และความเชี่ยวชาญให้เพรียบพร้อม เพื่อผลักดันให้สตาร์ทอัพเติบโตและประสบผลสำเร็จได้เร็ว สร้างอิมแพคให้อุตสาหกรรมได้ ซึ่งปีนี้เป็นปีที่ 5 แล้ว โดยมีสตาร์ทอัพ จาก 6 ประเทศ ได้แก่ ไทย สหรัฐอเมริกา สิงคโปร์ จีน อินเดีย และอิสราเอลเข้าร่วมโครงการ
โครงการ SPACE-F มุ่งส่งเสริมให้สตาร์ทอัพด้าน FoodTech เติบโตและขยายธุรกิจในภูมิภาคอาเซียนที่มีตลาดผู้บริโภคกว่า 650 ล้านคน และมีมูลค่าสูงกว่า 1,900 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งจากความสำเร็จที่ผ่านมาได้แสดงให้เห็นถึงโอกาสของการลงทุน และโครงสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่งที่จะทำให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางของอุตสาหกรรม FoodTech และตอกย้ำความเป็น “ครัวโลก” ของประเทศไทย
แพลตฟอร์มของเราได้มีการสนับสนุนสตาร์ทอัพอย่างเต็มที่ ให้มีการเติบโตทางธุรกิจ และสร้างคุณค่าต่อสังคม ด้วยวิสัยทัศน์และความร่วมมือของภาครัฐและเอกชนอย่าง มหาวิทยาลัยมหิดล บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) บริษัท ล็อตเต ไฟน์ เคมิคอล จำกัด และบริษัท เนสท์เล่ (ไทย) เราเชื่อว่าประเทศไทยจะก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีและนวัตกรรมทางด้านอาหารของโลก มีส่วนช่วยส่งเสริมความเป็นผู้ประกอบการ มุ่งเน้นการพัฒนานวัตกรรมที่สอดคล้องกับเทรนด์ใหม่ ๆ ในอุตสาหกรรม สามารถเปลี่ยนความคิดสร้างสรรค์ให้เป็นผลิตภัณฑ์หรือธุรกิจที่ประสบความสำเร็จในระดับสากลได้”
รศ.ดร.ยศชนัน วงศสวัสดิ์ ผู้อำนวยการสถาบันบริหารจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรม (iNT) มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวเสริม“เราเชื่อในเทคโนโลยีที่จะช่วยผลักดันให้ธุรกิจที่เข้าร่วมโครงการ SPACE-F รุ่นที่ 5 สามารถขยายออกไปในตลาดสากลได้มากขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่มหาวิทยาลัยมหิดลสามารถสนับสนุนได้ โดยสตาร์ทอัพที่เข้าร่วมโครงการสามารถใช้พื้นที่ได้เต็มศักยภาพและประสิทธิภาพ รวมถึงบุคลากร อาจารย์ของมหาวิทยาลัยมหิดล ที่จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยชื่อดังทั่วโลก ที่คอยสนับสนุน อีกทั้งนักศึกษาที่คุณจะเห็นได้จากมหาวิทยาลัยแห่งนี้เช่นกัน”
รศ. ดร.พสิษฐ์ ภควัชร์ภาณุรัตน์ รองคณบดีฝ่ายวิจัยและนวัตกรรม คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ยังกล่าวเพิ่ม“เบื้องหลังในความสำเร็จของการสร้างนวัตกรรมของหลายๆ สตาร์ทอัพ ยังจำเป็นที่จะต้องมีการศึกษาค้นคว้าวิจัยควบคู่กันไปอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สตาร์ทอัพประสบความสำเร็จยิ่งๆ ขึ้นไปในอนาคต คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล นอกเหนือเป็นสถานที่ที่โครงการ SPACE-F ตั้งอยู่มาอย่างยาวนานจนถึงปัจจุบัน SPACE-F รุ่นที่ 5 คณะวิทยาศาสตร์มีความยินดีที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของระบบนิเวศที่ส่งเสริมศักยภาพการเติบโตและการแข่งขันของ Food-Tech Startups ในการสร้างนวัตกรรมระดับครัวไทยสู่ครัวโลก โดยมีอาจารย์และบุคลากรของคณะฯ ที่พร้อมช่วยให้คำปรึกษาและสนับสนุนสตาร์ทอัพในโครงการฯ ด้วยศาสตร์ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเชิงเลึก เพื่อช่วยให้สตาร์ทอัพค้นหาแนวทางแก้ไขปัญหาที่ตอบโจทย์ความต้องการของตลาดอุตสาหกรรมอาหารโลกได้”
FoodTech Startup 10 รายที่เข้าร่วมโครงการบ่มเพาะสตาร์ทอัพ (Incubator Program)
- Full Circle Co., Ltd: นำเสนอบริการบรรจุภัณฑ์เพื่อลดขยะบรรจุภัณฑ์แบบใช้ครั้งเดียว
- Another Food: พัฒนากาแฟจากเซลล์พืชเพื่อความยั่งยืน
- Cantrak: ซอฟต์แวร์สำหรับอุตสาหกรรมอาหารและการเกษตร เพื่อติดตามและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพิ่มประสิทธิภาพทางการค้า
- Nanozeree: ผู้เชี่ยวชาญด้านการใช้กระบวนการ encapsulation หรือเทคโนโลยีห่อหุ้มโดยหุ่นยนต์เพื่อนำส่งสู่จุดหมายได้อย่างสมบูรณ์
- Anuvi Food Sciences: นวัตกรรมผลิตส่วนผสมอาหารจากการหมักชีวมวล
- Algrow Biosciences Pte. Ltd.: สร้างสรรค์ส่วนผสมคุณภาพสูงที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมจากโรงงานชีวภาพที่ใช้สาหร่ายโดยไม่เกิดของเสีย
- 21 Flavour: ทางเลือกใหม่ของผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงที่ดึงดูดและน่ารับประทานสำหรับสัตว์เลี้ยงที่คุณรัก
- Beijing BangyaBangya Technology: เครื่องดื่มจากถั่วงอกเจ้าแรกของโลก
- Niyog Global: ผลิตภัณฑ์นมที่ยั่งยืนจากมะพร้าว ปราศจากส่วนผสมจากสัตว์และเข้าถึงได้ง่าย
- KronoLife Co., Ltd.: ร่วมมือกับ สวทช. พัฒนาผลิตภัณฑ์เสริมอาหารและเครื่องสำอางชั้นนำสำหรับต่อต้านริ้วรอย และมุ่งจัดการเซลล์ชราโดยเฉพาะ โดยมีผลิตภัณฑ์อย่าง ZenoBlazt และ ZenoGenez ซึ่งช่วยกำจัดเซลล์เหล่านี้ เพื่อสุขภาพและผิวที่ดีขึ้น
FoodTech Startup 10 รายที่เข้าร่วมโครงการเร่งการเติบโตทางธุรกิจ (Accelerator Program)
- SEATOBAG PTE LTD: นวัตกรรมการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำด้วยจุลินทรีย์ครั้งแรกของโลก เพื่อเพิ่มความมั่นคงทางอาหารและการผลิตที่ยั่งยืน
- N&E Innovations: ผลิตภัณฑ์น้ำยาฆ่าเชื้อสังเคราะห์จากธรรมชาติที่มีฤทธิ์ต้านจุลชีพครั้งแรกของโลก และการพัฒนาบรรจุภัณฑ์อาหารจากเศษอาหาร
- The Crop Project: ผู้พัฒนาสูตรปรุงรสจากสาหร่ายเพื่อลดปริมาณโซเดียมในผลิตภัณฑ์อาหารสำเร็จรูป
- Biodefense led by BioShield: ปฏิวัติการถนอมอาหารด้วยนวัตกรรม
- UniFAHS: หยุดยั้งการดื้อยาต้านจุลชีพ (AMR) ผ่าน phage solution ภายใต้แบรนด์ PhagePrompt™ โดยสามารถประยุกต์ใช้กับกระบวนการผลิตอาหารได้หลากหลายขั้นตอน เช่น วัตถุดิบ การแปรรูป การเก็บรักษา และบรรจุภัณฑ์
- Prefer Pte Ltd: ใช้เทคโนโลยีการหมักเพื่อเปลี่ยนขนมปัง ถั่วเหลือง และข้าวบาร์เลย์ให้เป็นรสชาติกาแฟ
- Fattastic Technologies Pte Ltd: พัฒนาแพลตฟอร์มเพื่อพัฒนาไขมันพืชจากน้ำมันพืช
- MUI Robotics Co., Ltd.: ออกแบบแพลตฟอร์มสำหรับอุตสาหกรรมอาหารโดยเฉพาะ เพื่อพัฒนากระบวนการควบคุมคุณภาพ การวิเคราะห์รสชาติ และความปลอดภัยของอาหาร
- Aquivio: นวัตกรรมเครื่องกดน้ำที่มีคุณสมบัติในการปรับแต่งที่เป็นเอกลักษณ์ ผู้บริโภคสามารถสร้างสรรค์เครื่องดื่มที่ดีที่สุดที่เหมาะกับรสนิยม ไลฟ์สไตล์ และความต้องการได้ด้วยตนเอง
- Ingrediome Inc.: ใช้กระบวนการหมักด้วยแสงสังเคราะห์ที่มีความแม่นยำ (photosynthetic precision fermentation) เพื่อผลิตโปรตีนจากสัตว์ที่เหมือนกับธรรมชาติ และนำมาสร้างผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์และอาหารทะเลขึ้นมาใหม่ โดยได้ทำการวิเคราะห์และจำแนกบทบาทของโปรตีนจากอาหารทะเลในการปรุงอาหาร เพื่อมุ่งเน้นไปที่การผลิตโปรตีนที่สำคัญที่สุดสำหรับการใช้งานของเรา
ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับโครงการ SPACE-F สามารถเข้าชมได้ที่ https://www.space-f.co
#####
เกี่ยวกับโครงการ SPACE-F
โครงการ SPACE-F มุ่งเน้นให้สตาร์ทอัพในธุรกิจเทคโนโลยีอาหารได้พัฒนาผลิตภัณฑ์นวัตกรรม รองรับกับความท้าทายในปัจจุบันและอนาคตที่ต้องเผชิญในอุตสาหกรรม สตาร์ทอัพที่เข้าร่วมจะได้รับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญ โอกาสในการเข้าถึงเครือข่ายและแหล่งเงินทุน เพื่อการเติบโตของธุรกิจ
โดยขอบเขตของ Startup ผู้เข้าร่วมโครงการ SPACE-F ครอบคลุมหมวดหมู่ดังต่อไปนี้ ด้านอาหารเพื่อสุขภาพ (health and wellness), ด้านโปรตีนทางเลือก (alternative proteins), ด้านกระบวนการผลิตอาหารอัจฉริยะ (smart manufacturing), ด้านบรรจุภัณฑ์แห่งอนาคต (packaging solution), ด้านส่วนผสมและอาหารใหม่ (novel food and ingredients), ด้านวัสดุชีวภาพและสารเคมี (biomaterial and chemical), ด้านเทคโนโลยีการบริหารจัดการร้านอาหาร (restaurant tech), ด้านการตรวจสอบควบคุมคุณภาพและความปลอดภัยอาหาร (food safety and quality) และ ด้านการบริการอัจฉริยะด้านอาหาร (smart food services)
นอกจากนี้ สตาร์ทอัพในโครงการ SPACE-F ทุกทีมที่เข้าร่วมโครงการยังมีโอกาสเข้าใช้สถานที่และสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ภายในคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล รวมถึงโอกาสในการสร้างผลิตภัณฑ์เข้าสู่ตลาดร่วมกับบริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) และพันธมิตรโครงการ SPACE-F ซึ่งล้วนแต่เป็นบริษัทชั้นนำในอุตสาหกรรมอาหาร ได้แก่ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) บริษัท ล็อตเต ไฟน์ เคมิคอล จำกัด และ บริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด นอกจากนี้ โครงการ SPACE-F ยังเป็นโครงการที่ไม่มีการถือหุ้นในสตาร์ทอัพที่ได้รับคัดเลือกเข้ามา สตาร์ทอัพจะมีกรรมสิทธิ์ในไอเดียและผลิตภัณฑ์ต่างๆ ของตนเองอย่างสมบูรณ์
ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับโครงการ SPACE-F สามารถเข้าชมได้ที่ https://www.space-f.co
เกี่ยวกับ สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน)
ภารกิจของสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ คือการสนับสนุนและพัฒนาระบบนวัตกรรมของประเทศไทย ทั้งในด้านการปรับปรุง และการริเริ่ม เพื่อส่งเสริมการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจและ การเพิ่มขีดความ สามารถในการ แข่งขัน สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ ทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยความสะดวกทางนวัตกรรม ที่จะเป็นกลไกสำคัญที่ขับเคลื่อนนวัตกรรมของประเทศ โดยการร่วมสร้าง สรรค์นวัตกรรมใหม่ๆ เชื่อมโยงกลุ่มคนและองค์กรที่เกี่ยวข้อง ให้ความช่วยเหลือ และร่วมมือกับองค์กรต่างๆ จากหลาก หลายแขนง เช่น ด้านวิชาการ เทคโนโลยี อุตสาหกรรม การเงิน และการลงทุน โดยเน้นที่การใช้การจัดการความรู้เพื่อ ให้เกิดนวัตกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อส่งเสริมการ ทํางานในรูปแบบเครือข่ายวิสาหกิจนวัตกรรม ซึ่งใช้นวัตกรรม เป็นเครื่องมือหลักในการปรับปรุงคุณภาพชีวิตและขับเคลื่อนไปสู่เศรษฐกิจที่มีการแข่งขันสูงขึ้น
เกี่ยวกับบริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)
บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เป็นผู้นำด้านอาหารทะเลระดับโลกที่นำผลิตภัณฑ์อาหารทะเลคุณภาพสูง ดีต่อสุขภาพ อร่อย และสร้างสรรค์ มาสู่ลูกค้าทั่วโลกกว่า 47 ปี
ปัจจุบัน ไทยยูเนี่ยนถือได้ว่าเป็นหนึ่งในผู้ผลิตอาหารทะเลชั้นนำของโลกและเป็นหนึ่งในผู้ผลิตปลาทูน่าในบรรจุภัณฑ์ชนิดต่างๆ ที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยมียอดขายต่อปีเกินกว่า 136,153 ล้านบาท (3,912 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) และแรงงานทั่วโลกกว่า 44,000 คน ที่ทุ่มเทให้กับการบุกเบิกผลิตภัณฑ์อาหารทะเลที่สร้างสรรค์และยั่งยืน
ปัจจุบันไทยยูเนี่ยนเป็นเจ้าของแบรนด์ทั่วโลก ประกอบด้วย แบรนด์ที่เป็นผู้นำตลาดโลกอย่าง Chicken of the Sea, John West, Petit Navire, Parmentier, Mareblu, King Oscar, Hawesta และ Rügen Fisch รวมทั้งแบรนด์ชั้นนำในประเทศไทย ได้แก่ ซีเล็ค ฟิชโช คิวเฟรช โมโนริ OMG MEAT เบลลอตต้า และมาร์โว่ นอกจากนี้ยังมีส่วนประกอบอาหารภายใต้แบรนด์ UniQ®BONE และ UniQ®DHA และผลิตภัณฑ์อาหารเสริมเพื่อสุขภาพแบรนด์ ZEAvita
ไทยยูเนี่ยนมีเป้าหมายเพื่อสร้าง "การมีสุขภาพที่ดีและท้องทะเลที่อุดมสมบูรณ์, Healthy Living, Healthy Oceans" โดยให้ความสำคัญกับสุขภาพผู้คน ควบคู่ไปกับการอนุรักษ์ท้องทะเล เราภาคภูมิใจในการเป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลงโลกแห่งสหประชาชาติ (United Nations Global Compact: UNGC) พร้อมทั้งเป็นผู้ร่วมก่อตั้งมูลนิธิเพื่อความยั่งยืนของอาหารทะเลสากล (International Seafood Sustainability Foundation: ISSF) และได้รับเกียรติเป็นเป็นประธาน SeaBOS หรือ Seafood Business for Ocean Stewardship
ไทยยูเนี่ยนได้ประกาศกลยุทธ์ความยั่งยืน SeaChange® 2030 พร้อมขยายขอบเขตการทำงานด้านความยั่งยืนให้ครอบคลุมมิติของผู้คนและสิ่งแวดล้อม ไทยยูเนี่ยนดำเนินงานด้านความยั่งยืนโดยยึดหลักกลยุทธ์ SeaChange® ที่ได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติ จากผลการประเมินงานด้านความยั่งยืนปี 2565 บริษัทได้รับการคัดเลือกให้เป็นสมาชิกของดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์ (Dow Jones Sustainability Indices: DJSI) สำหรับตลาดเกิดใหม่เป็นปีที่ 10 ติดต่อกัน และยังได้รับการจัดอันดับในดัชนี Seafood Stewardship Index (SSI) เป็นอันดับหนึ่ง 3 ปีติดต่อกัน และในปี 2566 ได้รับการจัดอันดับอยู่ใน S&P Global Sustainability Yearbook 2023 ตลอดจนได้รับผลการประเมินดัชนีชี้วัดความยั่งยืนระดับ B จากสถาบันประเมินความยั่งยืนที่น่าเชื่อถือระดับโลก Carbon Disclosure Project (CDP) สะท้อนความความโปร่งใสและการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ นอกจากนี้ในปี 2566 ไทยยูเนี่ยนยังได้รับการคัดเลือกให้ติดอันดับดัชนี FTSE4Good Emerging Index เป็นปีที่ 8 ติดต่อกัน สามารถติดตามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการดำเนินธุรกิจแบบยั่งยืนได้ที่ seachangesustainability.org.
เกี่ยวกับบริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน)
บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) ("ไทยเบฟ") ก่อตั้งขึ้นในประเทศไทยในปี 2546 โดยมีจุดประสงค์เพื่อ รวมกิจการ ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจเบียร์และสุราชั้นนำของไทยที่เป็นของผู้ถือหุ้นและผู้ร่วมทุนรายอื่นๆ เข้ามาเป็นกลุ่มบริษัท ต่อมาในปี 2549 ไทยเบฟ ได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ (SGX) และภายหลังจากจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ ไทยเบฟได้ขยายขอบเขต ธุรกิจจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ไปสู่ธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์และอาหารเพื่อเพิ่มความหลากหลายของสินค้าเพิ่ม ประสิทธิผล ในช่องทางการกระจายสินค้า รวมถึงกระจายความเสี่ยงของกิจการ ในปัจจุบันไทยเบฟไม่เพียงแต่เป็นผู้ผลิตเครื่องดื่มชั้นนำในประเทศไทย แต่ยังเป็นผู้ผลิตที่ใหญ่ที่สุดรายหนึ่งในเอเชียอีกด้วย โดยแบ่งธุรกิจออกเป็น 4 สายธุรกิจ ได้แก่ สุรา เบียร์ เครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ และอาหาร
เกี่ยวกับมหาวิทยาลัยมหิดล
มหาวิทยาลัยมหิดลมีต้นกำเนิดมาจากการก่อตั้งโรงพยาบาลศิริราชในปี พ.ศ. 2431 โดยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) และโรงเรียนแพทย์ของโรงพยาบาลศิริราชก็เป็นสถาบันการศึกษาระดับอุดมศึกษาที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศไทยสถาบันแห่งนี้ยัง เปิดสอนหลักสูตรในสาขาวิชาสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ รวมไปถึงหลักสูตรระดับปริญญาเอกส่วนใหญ่ในประเทศไทยด้วย ขณะเดียวกันก็ยังคงรักษาความเป็นเลิศดั้งเดิมในด้านการแพทย์และวิทยาศาสตร์เอาไว้
เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2550 สภานิติบัญญัติแห่งชาติได้อนุมัติให้มหาวิทยาลัยมหิดลเป็นสถาบันอิสระ การเปลี่ยนแปลงนี้จะช่วยเพิ่ม ประสิทธิภาพ ความยืดหยุ่น และความสามารถในการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ของมหาวิทยาลัย และสร้างมาตรฐานการปฏิบัติกับมหาวิทยาลัย ระดับโลกอื่น ๆ เป้าหมายสูงสุดคือการส่งเสริมการมีสุขภาพที่ดีและความเป็นอยู่ที่ดีเพื่อประโยชน์ของประชาชน โดยอาศัยการวิจัย เทคโนโลยี และนวัตกรรม ปัจจุบันมหาวิทยาลัยมหิดลอยู่ในอันดับที่ 1 ของประเทศไทยจากการจัดอันดับสถาบัน ที่เป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติมากมาย
เกี่ยวกับดีลอยท์
ดีลอยท์ให้บริการด้านการสอบบัญชี ที่ปรึกษาทางการบริหารจัดการ ที่ปรึกษาความเสี่ยง ที่ปรึกษาทางการเงินที่ปรึกษาด้าน ภาษีและกฎหมาย ให้กับองค์กรทั้งภาครัฐและเอกชนครอบคลุมอุตสาหกรรมต่างๆด้วยเครือข่ายบริษัทสมาชิกที่เชื่อมโยง กันมากกว่า 150 ประเทศทั่วโลก ดีลอยท์ผสานความสามารถและบริการที่มีคุณภาพระดับโลกรวมถึงความรู้ ความเชี่ยวชาญเพื่อช่วยแก้ปัญหาทางธุรกิจ ที่ซับซ้อนให้กับลูกค้า
ดีลอยท์ ประเทศไทย มีการเติบโตอย่างรวดเร็ว ในปัจจุบันมีจำนวนพนักงานประมาณ 1,500 คน และพาร์ทเนอร์มากกว่า 50 คน
ดีลอยท์ประเทศไทยก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1939 เป็นบริษัทตรวจสอบบัญชีบริษัทแรกในประเทศ ด้วยประสบการณ์ในเชิงลึกและมี ทรัพยากรที่มีคุณภาพ ดีลอยท์ประเทศไทยได้ให้บริการในประเทศไทยในหลากหลายอุตสาหกรรมและภาคส่วนมาแล้วมากกว่า 80 ปี การ ร่วมทำงานเป็นหนึ่งเดียวในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ทำให้ลูกค้าได้รับผลประโยชน์จากการผนวกความเชี่ยวชาญและทักษะจากประเทศ สมาชิก
เกี่ยวกับ บริษัท ล็อตเต้ ไฟน์ เคมิคอล จำกัด
บริษัท ล็อตเต้ ไฟน์ เคมิคอล (“LFC”) ก่อตั้งในปี พ.ศ. 2507 โดยเริ่มต้นด้วยการทำธุรกิจเคมี โดยต่อมาได้มีการขยายธุรกิจไปสู่กลุ่มผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ได้แก่ สารเพิ่มรสชาติในอาหารในแบรนด์ AnyAddy วัสดุดิบสำหรับแคปซูลยาในแบรนด์ AnyCoat และ สารเพิ่มสมรรถภาพสำหรับงานก่อสร้างในแบรนด์ Mecellose ปัจจุบัน LFC กำลังขยายรากฐานของธุรกิจไปสู่การเป็นบริษัทเคมีภัณฑ์ชนิดพิเศษในลักษณะของการเป็นผู้ส่งเสริมธุรกิจต่าง ๆ ในสายงานดังกล่าวพร้อมเน้นการพัฒนาศักยภาพและ ความได้เปรียบของธุรกิจเหล่านั้นด้วยความเชี่ยวชาญและประสบการณ์กว่า 50 ปี ของ LFC
อีกหนึ่งสิ่งสำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจของ LFC มีความก้าวหน้าและเติบโต คือ การดำเนินธุรกิจในกลุ่มเทคโนโลยีด้านชีวภาพ ซึ่งได้แก่ ผลิตภัณฑ์อาหารทางเลือก การพัฒนาเทคโนโลยีการหมัก และเทคโนโลยีการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ เพื่อพัฒนาวัตถุดิบสำหรับอุตสาหกรรมที่กำลังเติบโต เช่น อาหารทดแทนเนื้อสัตว์และวิศวกรรมชีวภาพ ทั้งนี้ LFC ยังได้ร่วมพัฒนาธุรกิจกับองค์กรที่มีเทคโนโลยีต่างๆที่ล้ำสมัยและมีความก้าวหน้า พร้อมได้ทำการวิจัยภายในบริษัทเองอีกด้วย
เกี่ยวกับเนสท์เล่
เนสท์เล่เป็นบริษัทผู้ผลิตอาหารและเครื่องดื่มรายใหญ่ที่สุดของโลก ครอบคลุม 188 ประเทศทั่วโลก พนักงานเนสท์เล่กว่า 275,000 คนต่างมีพันธสัญญาต่อเจตนารมณ์ของเนสท์เล่ในการเปิดพลังแห่งอาหารเพื่อเพิ่มพูนคุณภาพชีวิตที่ดี สำหรับทุกคนในวันนี้และในอนาคต (Unlocking the power of food to enhance quality of life for everyone, today and for generations to come) เนสท์เล่นำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการสำหรับผู้คนและสัตว์เลี้ยงครอบคลุมในทุกช่วงวัย มากกว่า 2,000 แบรนด์ ทั้งที่เป็นแบรนด์ที่เป็นที่รู้จักในระดับโลก เช่น เนสกาแฟ เนสเปรสโซ ไมโล แม็กกี้ ตลอดจนแบรนด์ที่เป็นที่ชื่นชอบในท้องถิ่นอย่าง ตราหมี หรือมิเนเร่ บริษัทฯ ขับเคลื่อนธุรกิจด้วยกลยุทธ์ที่จะสร้างสรรค์สิ่งดีๆเพื่อผู้บริโภค (Good for You) และสิ่งดีๆเพื่อโลกของเรา (Good for the Planet) ปัจจุบัน เนสท์เล่ก่อตั้งมานานกว่า 150 ปี โดยมีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่เมืองเวเวย์ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์