ไทยยูเนี่ยนและโครงการอาหารโรงเรียนโดยโครงการอาหารโลก ส่งผลอย่างยิ่งต่อเศรษฐกิจชุมชน

บรรยายภาพ: ผลเบื้องต้นจากการศึกษาเกี่ยวกับโครงการอาหารโรงเรียนแห่งชาติในประเทศเคนยา จัดโดยโครงการอาหารโลก องค์การสหประชาติ มีผลอย่างยิ่งต่อเศรษฐกิจชุมชน

30 ตุลาคม 2562, กรุงเทพฯ – ผลเบื้องต้นจากการศึกษาเกี่ยวกับโครงการอาหารโรงเรียนแห่งชาติในประเทศเคนยา จัดโดยโครงการอาหารโลก องค์การสหประชาชาติ ชี้ให้เห็นว่ามีผลอย่างยิ่งต่อเศรษฐกิจชุมชน

การวิเคราะห์เบื้องต้นจากการศึกษาแสดงให้เห็นว่าทุกๆ 1 ชิลลิงเคนยาที่ถูกส่งไปยังโครงการดังกล่าวจะสร้างรายได้เพิ่มอีก 1.27 ชิลลิงเคนยา ให้กับชุมชนอันห่างไกลในเคนยาที่ยังต้องการรายได้อีกมาก

การศึกษาในครั้งนี้ได้รับการสนับสนุนจาก บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) โดยความร่วมมือกับภาควิชาเศรษฐศาสตร์การเกษตรและทรัพยากร แห่งมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ดาวิส และมีวัตถุประสงค์ที่จะแสดงให้เห็นว่าโครงการอาหารกลางวันให้กับนักเรียนทั่วประเทศกว่า 8.9 ล้านคนนี้มีแนวโน้มที่ส่งผลต่อเศรษฐกิจทั้งระดับชาติและชุมชน

ข้อมูลจากโรงเรียน นักธุรกิจ เกษตรกรและครัวเรือนต่างๆ มากกว่า 2,000 ราย ทำให้คาดการณ์ผลลัพธ์ที่ได้รับจากทุกบาททุกสตางค์ที่ลงทุนในโครงการอาหารโรงเรียนแห่งชาติได้ โดยตั้งอยู่บนพื้นฐานของแหล่งที่มาของสินค้าอาหารจากชุมชน

การสนับสนุนโครงการอาหารโลกของไทยยูเนี่ยนนี้ เป็นไปตามกลยุทธ์ด้านความยั่งยืนของบริษัทหรือ SeaChange® ไทยยูเนี่ยนเป็นสมาชิกข้อตกลงแห่งสหประชาชาติและได้ดำเนินงานอย่างต่อเนื่องในเรื่องของความยั่งยืน เพื่อบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนโดยองค์การสหประชาชาติ ทั้งในด้านการขจัดความหิวโหย และการส่งเสริมงานที่มีคุณค่าและการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ

ผลจากการศึกษาครั้งนี้ยังชี้ให้เห็นว่าโครงการดังกล่าวนอกจากจะสนับสนุนเศรษฐกิจชุมชนแล้ว ยังทำให้ภาวะโภชนาการของนักเรียนดีขึ้น ความสำเร็จของโครงการนี้ยังส่งผลให้เกิดโครงการในลักษณะดังกล่าวทั่วโลก

ดร.แดเรี่ยน แมคเบน ผู้อำนวยการกลุ่มส่งเสริมกิจการองค์กรและความยั่งยืน กล่าวว่า

“ที่ไทยยูเนี่ยน เราให้ความสำคัญกับการมีโภชนาการที่ดี และการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์เพราะมีความสำคัญต่อพัฒนาการของเยาวชน เราตื่นเต้นที่ได้มีส่วนร่วมในการศึกษาครั้งนี้ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าโครงการอาหารโรงเรียนไม่เพียงแต่เกิดผลดีกับนักเรียนแต่ยังรวมไปถึงเศรษฐกิจชุมชนด้วย”

นอกจากนี้ ไทยยูเนี่ยนยังให้ความสำคัญกับโภชนาการและทำงานร่วมกับชุมชนในประเทศไทย บริษัทได้จัดกิจกรรมส่งเสริมความรู้ความเข้าใจให้กับนักเรียนในชุมชนที่ดำเนินธุรกิจอยู่ ในปีที่ผ่านมา ไทยยูเนี่ยนได้กิจกรรมด้านโภชนาการและสุขภาพให้กับนักเรียนกว่า 750 คนในจังหวัดสมุทรสาคร เพื่อให้ความรู้ความเข้าใจเรื่องโภชนาการและนำไปปรับใช้กับการรับประทานในแต่ละวัน

รับชมวิดิโอการศึกษาโครงการอาหารโรงเรียนในประเทศเคนยาได้ที่นี่

เกี่ยวกับ บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)

บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เป็นผู้นำธุรกิจอาหารทะเลของโลก ซึ่ง ส่งมอบผลิตภัณฑ์อาหารทะเลที่มีนวัตกรรม รสชาติดี มีประโยชน์ต่อสุขภาพ และมีคุณภาพสูงให้กับผู้บริโภคทั่วโลกมาเป็นเวลากว่า 40 ปี

วันนี้ บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป ได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้ผลิตผลิตภัณฑ์ปลาทูน่าบรรจุภาชนะชนิดต่างๆ ที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยมียอดขายต่อปีมากกว่า 1.33 แสนล้านบาท (4.1 พันล้านเหรียญสหรัฐ) และมีพนักงานทั่วโลกรวมกันมากกว่า 47,000 คน ซึ่งล้วนทุ่มเทเพื่อผลิตภัณฑ์อาหารทะเลที่มีนวัตกรรมและมีความยั่งยืน

ไทยยูเนี่ยนเป็นเจ้าของแบรนด์ทั่วโลก ประกอบด้วย แบรนด์ที่เป็นผู้นำตลาดโลกอย่าง Chicken of the Sea, John West, Petit Navire, Parmentier, Mareblu, King Oscar และ Rügen Fisch รวมทั้งแบรนด์ชั้นนำในประเทศไทย ได้แก่ ซีเล็ค ฟิชโช คิวเฟรช โมโนริ เบลลอตต้า และมาร์โว่

จากพันธกิจในการเป็นบริษัทแห่งนวัตกรรมและดำเนินงานด้วยความรับผิดชอบทั่วโลก ไทยยูเนี่ยนภูมิใจที่ได้เป็นหนึ่งในภาคีข้อตกลงโลกแห่งสหประชาชาติ (United Nations Global Compact) และเป็นผู้ร่วมก่อตั้งมูลนิธิเพื่อความยั่งยืนของอาหารทะเลสากล (International Seafood Sustainability Foundation: ISSF) ในปี 2558 ไทยยูเนี่ยนเปิดตัวกลยุทธ์ด้านความยั่งยืน SeaChange® และดำเนินการในเรื่องดังกล่าวอย่างต่อเนื่องเรื่อยมาโดยตลอด ทำให้ในปี 2561 และ 2562 ไทยยูเนี่ยนได้เป็นผู้นำอันดับ 1 กลุ่มอุตสาหกรรมของโลกใน Food Industry ในดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์ และประสบความสำเร็จในการได้รับคะแนนเปอร์เซ็นไทล์สูงสุดที่ 100 ในคะแนนด้านความยั่งยืนทั้งหมด ปัจจุบันไทยยูเนี่ยนได้รับการคัดเลือกให้เป็นสมาชิกของดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์ เป็นปีที่ 6 ติดต่อกัน นอกจากนี้ไทยยูเนี่ยนยังได้รับการคัดเลือกให้ติดอันดับดัชนี FTSE4Good Emerging Index ในปี 2561 อีกด้วย