สิ่งแวดล้อม อาชีวอนามัย และความปลอดภัย
สิ่งแวดล้อม อาชีวอนามัย และความปลอดภัย
ไทยยูเนี่ยน มีการริเริ่มโครงการมากมายที่ช่วยให้มั่นใจว่า บริษัทดำเนินงานด้วยความรับผิดชอบ และได้จัดการกับประเด็นที่มีนัยสำคัญบางประการอย่างเหมาะสม เพื่อให้สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ ซึ่งในบทนี้เรามุ่งเน้นไปยังเป้าหมายประการที่ 12 เรื่องแผนการบริโภคและการผลิตที่ยั่งยืน และเป้าหมายประการที่ 13 เรื่องการรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เมื่อมองถึงปี 2563 และปีต่อๆ ไป เราเชื่อว่า เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนเหล่านี้จะมีบทบาทสำคัญในกลยุทธ์ความยั่งยืนของเราอย่างยิ่ง
ความเสี่ยงทางด้านสิ่งแวดล้อมของโลก เช่น การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การใช้ทรัพยากรธรรมชาติ และการจัดการของเสีย จะมีผลกระทบเชิงลบต่อท้องทะเลของเรามากขึ้นเรื่อยๆ และคุกคามสัตว์ทะเลสายพันธุ์ต่างๆ ที่เราต้องพึ่งพา ดังนั้นวิธีการดำเนินงานของเราจะต้องมีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม รวมทั้งแสดงถึงบทบาทหน้าที่ในการดูแลพนักงานในวิธีการดำเนินงานของเรา
เราได้ริเริ่มโครงการต่างๆ ในสถานที่ทำงานของเราเพื่อนำไปสู่การลดการใช้น้ำ การใช้พลังงาน การลดของเสียฝังกลบ การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และการลดอุบัติเหตุ เราต้องการให้ทุกคนที่ทำงานกับไทยยูเนี่ยนมีบทบาทอย่างแข็งขันที่จะช่วยกันขับเคลื่อนเป้าหมายด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสิ่งแวดล้อม ซึ่งเราเห็นความปลอดภัยและการปกป้องสิ่งแวดล้อมเป็นหน้าที่ของทุกๆ คน นอกจากนี้เรายังมุ่งมั่นที่จะสร้างความก้าวหน้าในนโยบายด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัยอย่างต่อเนื่อง รวมถึงมาตรฐานด้านความปลอดภัย วิธีปฏิบัติและกระบวนการต่างๆ ทั้งนี้สามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อมของไทยยูเนี่ยนได้ ที่นี่
ส่วนหนึ่งของพันธกิจเราภายใต้กลยุทธ์ SeaChange® เรามีการตั้งเป้าหมายสำหรับปี 2563 ได้แก่ อัตราความถี่ของการเกิดอุบัติเหตุระยะยาวอยู่ที่ 0.5 ครั้งภายในปี 2563 รวมถึงการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลง 30 เปอร์เซ็นต์ การลดการใช้น้ำลง 20 เปอร์เซ็นต์ และการลดปริมาณของเสียฝังกลบ 20 เปอร์เซ็นต์ โดยในปี 2563 เราประสบความสำเร็จในการบรรลุทุกเป้าหมายยกเว้นการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ไม่ถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้โดยขาดไปเพียง 2 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น รายละเอียดข้อมูลเพิ่มเติมด้านบน จะแสดงให้เห็นถึงกิจกรรมต่างๆ ของเราที่ดำเนินการเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และความตั้งใจในการทำงานเพื่อบรรลุเป้าหมายดังกล่าว
โควิด 19
ไทยยูเนี่ยน ให้ความสำคัญอย่างยิ่งต่อสุขภาพ ความปลอดภัย และความเป็นอยู่ที่ดีของพนักงาน พันธมิตร คู่ค้า ลูกค้า และชุมชนท้องถิ่น การดำเนินธุรกิจของไทยยูเนี่ยนได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด 19 เช่นเดียวกันกับหลายบริษัททั่วโลก แต่อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่เริ่มมีการแพร่ระบาด ไทยยูเนี่ยนได้ดำเนินการทุกอย่างที่ทำได้ เพื่อปกป้องผู้ที่เกี่ยวข้องในห่วงโซ่อุปทานของเรา ตั้งแต่การจับ การแปรรูป ไปจนถึงการบริโภค เพื่อลดผลกระทบต่อการดำเนินงานของเรา (เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนประการที่ 3 เรื่องการมีสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี)
ในปี 2563 เรามีมาตรการอย่างเคร่งครัดเพื่อป้องกันการติดเชื้อภายในโรงงานของเรา เช่น การเว้นระยะห่างทางสังคม การสวมอุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล (PPE) และการแบ่งกลุ่มสลับเข้าทำงาน มาตรการเหล่านี้ถูกออกแบบมาเพื่อลดการติดเชื้อของพนักงานในโรงงาน ในกรณีที่มีการพบเชื้อ เรามีขั้นตอนที่เตรียมการไว้ซึ่งสามารถดำเนินการได้ทันที ไม่ว่าจะเป็นการตรวจสอบประวัติการสัมผัสของการติดเชื้อ การกักตัวพนักงานที่อยู่ใกล้ชิด จำกัดการเข้าออกพื้นที่ที่เกี่ยวข้องและทำความสะอาดฆ่าเชื้ออย่างทั่วถึง ตลอดระยะเวลาปี 2563 เรามีการซ้อมปฏิบัติการด้านความปลอดภัยและการทำความสะอาดในทุกโรงงานเพื่อเตรียมความพร้อม นอกจากนี้ ในปี 2561 และปี 2562 เรามีการจัดอบรมการสื่อสารและการโต้ตอบในสถานการณ์วิกฤตให้กับโรงงานและหน่วยธุรกิจต่างๆ การเตรียมพร้อมในเรื่องเหล่านี้ทำให้เราสามารถจัดการเรื่องต่างๆ ได้อย่างรวดเร็วในช่วงที่เกิดการแพร่ระบาด โดยได้มีดำเนินการตามมาตรการและขั้นตอนของแต่ละพื้นที่เหล่านั้นภายใต้การดูแลและแนะนำจากทีมคณะกรรมการจัดการสถานการณ์วิกฤต

ความปลอดภัย และอาชีวอนามัย
ในปี 2563 เรายังให้ความสำคัญกับการสร้างสถานที่ทำงานที่ปลอดภัย เพื่อลดความเสี่ยงของการบาดเจ็บและเสียชีวิต งานนี้เป็นเรื่องที่ต้องทำอย่างต่อเนื่องและให้ความสำคัญกับการวางระบบและการปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมการทำงานโดยให้ความสำคัญกับเรื่องความปลอดภัยในสถานที่ทำงานเป็นอันดับแรก ในการเน้นย้ำถึงความสำคัญในเรื่องความปลอดภัยสำหรับพนักงานและผู้รับเหมาในด้านสุขอนามัยที่ดี ความปลอดภัยและสิ่งแวดล้อม ไทยยูเนี่ยนทำการวิเคราะห์ข้อมูลในอดีตที่ผ่านมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้มั่นใจว่าเราได้ดำเนินการแก้ไขและลดความเสี่ยง จากการประเมินข้อมูลอุบัติเหตุขั้นรุนแรงในอดีต เราระบุได้ว่า ไฟไหม้ รถยก (forklift) การทำงานในที่สูง เครื่องจักร สายพาน รถเข็น และการขนถ่ายวัสดุเป็นอุบัติเหตุร้ายแรงอันดับต้นๆ ในขณะเดียวกันก็เห็นว่าความถี่ของพนักงานที่เกิดอุบัติเหตุจากของมีคมมีสูงมาก แม้ว่าข้อมูลในอดีตจะไม่ได้แสดงว่าเป็นอุบัติเหตุขั้นรุนแรงก็ตาม
เป้าหมายสำคัญในปี 2563 คือ การลดความเสี่ยงการเกิดไฟไหม้ที่โรงงานของเรา โดยเริ่มจากการประเมินมาตรการป้องกันไฟไหม้และความปลอดภัยของบุคลากรในทุกโรงงานของเราเพื่อวิเคราะห์ช่องว่างและวางมาตรการลดความเสี่ยงทั้งในระดบองค์กรและในโรงงานโดยใช้แบบจำลอง “cheese risk mitigation model” ซึ่งรวมถึงการพัฒนาแผนการลงทุนและการเพิ่มการควบคุมการดำเนินการภายในให้รัดกุมยิ่งขึ้น ยกตัวอย่างเช่น เรากำหนดคุณภาพขั้นต่ำของวัสดุที่ใช้ในการสร้างอาคาร พัฒนาแผนการลงทุนเพื่อวางระบบป้องกันไฟไหม้ และยกระดับการจัดการกับเหตุการณ์ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
เรามีพันธกิจในการลดอัตราความรุนแรงของอุบัติเหตุถึงขั้นหยุดงานของพนักงาน (LTIFR) โดยได้ดำเนินการตามแนวทางการจัดการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสิ่งแวดล้อมของกลุ่มบริษัท ซึ่งปฏิบัติตามข้อกำหนดภาคบังคับด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสิ่งแวดล้อม ประเด็นหลัก 3 หัวข้อ และการวิเคราะห์สาเหตุที่มาซึ่งรวมถึงบทเรียนจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแม้จะไม่ได้ก่อให้เกิดความเสียหายก็ตาม ในปี 2563 ความพยายามนี้ช่วยให้เราลดอัตรา LTIFR ลงจาก 0.89 ครั้งต่อ 200,000 ชั่วโมงการทำงานในปี 2559 มาอยู่ที่ 0.45 ครั้งต่อ 200,000 ชั่วโมงการทำงานในปี 2563 ซึ่งลดลง 49 เปอร์เซ็นต์โดยไม่มีกรณีพนักงานเสียชีวิต ในปี 2563 อัตราการบาดเจ็บจากการทำงาน (TRIR) อยู่ที่ 0.63 ครั้งต่อ 200,000 ชั่วโมงการทำงาน นอกจากนี้เรายังรักษาอัตราความถี่การเจ็บป่วยจากการทำงานของพนักงานให้อยู่ที่ระดับศูนย์
อย่างไรก็ตาม อัตรา LTIFR ของเราในปี 2563 สูงกว่าในปี 2562 เนื่องจากมีการขยายการรายงานให้ครอบคลุมธุรกิจใหม่ในเยอรมนี ลิธัวเนีย และไทย ซึ่งส่งผลให้มีอัตราความถี่เพิ่มขึ้น
แม้เราจะดำเนินนโยบายด้านความปลอดภัย ชีวอนามัย และสิ่งแวดล้อมอย่างอย่างจริงจัง แต่ในวันที่ 21 พฤษภาคม ปี 2563 ได้เกิดเหตุไฟไหม้ที่โรงงานของเราในเมือง Val Comeau ประเทศแคนาดา อย่างไรก็ตาม การอพยพหนีไฟดำเนินไปได้ด้วยดีและไม่มีรายงานการบาดเจ็บ ซึ่งโรงงานได้ปิดการดำเนินงานในช่วงที่เหลือของปี 2563
นอกจากนี้ เรามีอุบัติเหตุจำนวน 2 ครั้งที่ส่งผลกระทบอย่างมากทำให้ต้องสูญเสียมากกว่า 180 วันในปี 2563 อุบัติเหตุแรกคือ การลื่น และอุบัติเหตุที่สองคือ การถูกของมีคมบาด ซึ่งนี้เป็นการตระหนักถึงความจำเป็นสำหรับการดำเนินงานอย่างต่อเนื่องเพื่อทำให้สถานที่ทำงานของเรามีความปลอดภัย
การปกป้องสิ่งแวดล้อม
ไทยยูเนี่ยนมุ่งมั่นในการปกป้องสิ่งแวดล้อมโดยการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างคุ้มค่าเพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ในปี 2563 เราลดอัตราการใช้น้ำและปริมาณของเสียฝังกลบได้ดีกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ เราสามารถลดการใช้น้ำและปริมาณของเสียฝังกลบลง 26 เปอร์เซ็นต์และ 70 เปอร์เซ็นต์ตามลำดับเมื่อเทียบกับปี 2559
การรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการจัดการด้านพลังงาน
ไทยยูเนี่ยนมีความมุ่งมั่นที่จะปกป้องสิ่งแวดล้อม โดยมีโครงการริเริ่มด้านสิ่งแวดล้อมที่ดำเนินการในปี 2563 มุ่งเน้นไปที่การลดการใช้พลังงาน การเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินการ และการเพิ่มการใช้พลังงานหมุนเวียน โครงการริเริ่มหลักที่สำคัญมีดังนี้
- การเพิ่มประสิทธิภาพพลังงานของการผลิตไอน้ำตั้งแต่ต้นจนจบกระบวนการ เริ่มตั้งแต่การใช้ถ่านหินคุณภาพสูงและการใช้ถุงขนาดใหญ่ในการลดความชื้น ปรับปรุงท่อไอน้ำด้วยการติดตั้งฉนวนและลดขนาดท่อ ใช้น้ำอาร์โอ ใช้วาล์วลดแรงดันเพื่อลดแรงดันไอน้ำและเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ไอน้ำในตู้อบไอน้ำและหม้อฆ่าเชื้อ (retort)
- การลดการใช้ไฟฟ้าในระบบทำความเย็นด้วยการบริหารจัดการพลังงานในห้องเย็นให้ดีขี้น ติดตั้งพัดลมคอมเพรสเซอร์แบบอินเวอร์เตอร์ จัดทำห้องเย็นพักสินค้าและประตูอัตโนมัติความเร็วสูง ในปี 2563 ไทยยูเนี่ยนเข้าร่วมโครงการ EP100 กับองค์กร Climate Group ซึ่งจะช่วยพัฒนาการตรวจสอบและใช้คำแนะนำเรื่องการจัดการระบบทำความเย็น
- การส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียนเช่น ที่โรงงานสงขลาแคนนิ่ง มีการนำเครื่องทำไอน้ำชีวมวลที่ใช้เศษไม้เป็นเชื้อเพลิงโดยตรงสำหรับผลิตไอน้ำทดแทนการใช้น้ำมันเตา ที่โรงงานของไทยยูเนี่ยนและไทยรวมสินพัฒนาอุตสาหกรรม มีการใช้ไฟฟ้าที่ได้จากก๊าซชีวภาพจากการบำบัดน้ำเสีย นอกจากนี้เรายังดำเนินการโครงการพลังงานแสงอาทิตย์โดยการติดตั้งแผงโซล่าบนหลังคาโรงงานของเราอย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่ปี 2560 เราประสบความสำเร็จในการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ได้ทั้งหมด 8.3 เมกะวัตต์ โดยสามารถผลิตไฟฟ้าได้ 15,101,588 กิโลวัตต์ชั่วโมง ซึ่งช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ประมาณ 7,853 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า โครงการพลังงานแสงอาทิตย์นี้จะดำเนินการต่อเนื่องในปี 2564 (เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนประการที่ 13 การรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และประการที่ 7 เรื่องพลังงานสะอาดที่ทุกคนเข้าถึงได้)
ผลลัพธ์ของความพยายามเรื่องการส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียนในกระบวนการผลิตของเราในปี 2563 ทำให้สามารถลดก๊าซเรือนกระจกต่อหน่วยการผลิตได้ถึง 28 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับปี 2559 ไทยยูเนี่ยนกำลังก้าวไปสู่การเป็นองค์กรคาร์บอนต่ำและลดผลกระทบของก๊าซเรือนกระจกต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม ในปี 2564 เราจะประกาศกลยุทธ์ด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการตั้งเป้าหมายเพื่อให้สอดคล้องกับเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกตามฐานวิทยาศาสตร์ (Science Based Targets Initiative)
การจัดการของเสีย
โครงการรณรงค์ให้พนักงานลดการใช้พลาสติกครั้งเดียว
ไทยยูเนี่ยนเน้นให้ความสำคัญกับการลดการใช้พลาสติกเพียงครั้งเดียว และส่งเสริมการใช้บรรจุภัณฑ์ที่สามารถนำกลับมาใช้ได้ใหม่ โดยเริ่มจากการเปลี่ยนแปลงไลฟ์สไตล์ เราเพิ่มความตระหนักในด้านการใช้ทรัพยากรอย่างเหมาะสมให้กับพนักงาน เพื่อให้พนักงานตระหนักถึงบทบาทของตนเองในการดูแลโลก การใช้พลาสติกอย่างคุ้มค่าและจัดการขยะอย่างเหมาะสมเพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เรายังทำงานกับคู่ค้าของเราอย่างใกล้ชิดในการลดบรรจุภัณฑ์โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การใช้ถุงพลาสติกและกล่องกระดาษลูกฟูก
ไทยยูเนี่ยนใช้หลักเศรษฐกิจหมุนเวียนในการจัดการของเสียเพื่อลดของเสียในกระบวนการผลิต ในขณะที่ใช้ทรัพยากรอย่างเหมาะสม เป้าหมายของเราไม่เพียงแต่ลดแต่ยังเพิ่มมูลค่าให้กับของเสียโดยใช้วิธีต่างๆ ได้แก่ การใช้เศษอาหารเป็นอาหารสัตว์ การใช้กากจากกระบวนการบำบัดน้ำในการทำปุ๋ยหมัก และใช้เทคโนโลยีเตาเผาขยะ (incineration) กับน้ำมันที่ใช้แล้วหรือที่มีการปนเปื้อนเพื่อคืนสภาพด้วยความร้อน
ที่บมจ. ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป บจ. ไทยรวมสินพัฒนาอุตสาหกรรม บจ. ยู่เฉียงแคนฟู้ด บมจ. สงขลาแคนนิ่ง บจ. โอคินอสฟู้ด บจ. ไทยยูเนี่ยนซีฟู้ด บจ. แพ็คฟู้ด เอเชีย และบจ. ไทยยูเนี่ยน ฟีดมิลล์ (มหาชัย) เราได้นำกากจากกระบวนการบำบัดน้ำเสียมาใช้ในการปรับปรุงดิน ซึ่งนำไปสู่การลดของเสียได้ 8,042 ตันต่อปี ผลลัพธ์ที่ได้คือ การกำจัดของเสียแบบฝังกลบลดลง 70 เปอร์เซ็นต์ในปี 2563 เมื่อเทียบกับปี 2559

การจัดการน้ำ
น้ำมีความสำคัญต่ออย่างต่อเนื่องในธุรกิจอาหาร ดังนั้นการจัดการน้ำอย่างความรับผิดชอบจึงสำคัญต่ออนาคตของธุรกิจของไทยยูเนี่ยน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ที่มีความวิกฤตเรื่องน้ำซึ่งเป็นพื้นที่ที่เรามีการดำเนินงานอยู่ เราจัดการกักเก็บน้ำอย่างยั่งยืนรอบโรงงานของเราโดยปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้น้ำ รวมทั้งใช้น้ำซ้ำและการนำกลับมาใช้ใหม่ในกระบวนการผลิต
การประเมินและการจัดการความเสี่ยงวิกฤตเรื่องน้ำ
ในปี 2563 ไทยยูเนี่ยน ประเมินความเสี่ยงการขาดแคลนน้ำด้วยเครื่องมือ Aqueduct Water Risk Atlas 3.0 ซึ่งพัฒนาโดยสถาบันทรัพยากรโลก (World Resources Institute :WRI) เรามีการดำเนินการเพื่อลดผลกระทบโดยกำหนดเป้าหมายการลดการใช้น้ำและการจัดหาแหล่งน้ำทางเลือกอื่นๆ

การใช้น้ำตลอดกระบวนการผลิตบนหลักการเศรษฐกิจหมุนเวียน
ความพยายามเหล่านี้ไม่เพียงลดความเสี่ยงด้านการดำเนินงานของทั้งไทยยูเนี่ยนและคู่ค้าของเรา แต่ยังมีบทบาทในการช่วยลดผลกระทบต่อชุมชนที่เรามีการดำเนินธุรกิจอยู่ซึ่งบางครั้งมีการขาดแคลนน้ำ ซึ่งเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ในอนาคต
กรณีศึกษา
โครงการ Carbon Searo – leave no trace
ในฐานะที่เป็นบริษัทซึ่งผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคที่หลากหลาย เราคำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในทุกสิ่งที่เราผลิต บรรจุภัณฑ์เป็นองค์ประกอบที่สำคัญของทุกผลิตภัณฑ์และมีส่วนสำคัญอย่างยิ่งต่อผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมโดยรวมของเรา ภายใต้กลยุทธ์ SeaChange® เราตระหนักถึงเรื่องนี้และเข้าใจว่าเราต้องลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมโดยพัฒนาและดำเนินโครงการบรรจุภัณฑ์ที่ยั่งยืน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินงานด้วยความรับผิดชอบ เรามีพันธกิจที่ตั้งเป้าว่า บรรจุภัณฑ์ที่ใช้ในแบรนด์ของเราทั้งหมด 100 เปอร์เซ็นต์ ต้องสามารถนำมาใช้ซ้ำ นำกลับมาใช้ได้อีก หรือสามารถย่อยสลายได้ (reusable, recyclable or compostable) ภายในปี 2568 และสัดส่วนของบรรจุภัณฑ์ที่ใช้วัตถุดิบที่ทำจากวัสดุที่นำกลับมาใช้ใหม่ได้โดยเฉลี่ยอยู่ที่ 30 เปอร์เซ็นต์ ภายในปี 2568
เพื่อให้บรรลุเป้าหมายนี้ ในปี 2563 แบรนด์ John West ในประเทศอังกฤษของเรา ได้พัฒนาแผนงานด้านบรรจุภัณฑ์ที่ยั่งยืน ที่ใช้ชื่อว่า John West Carbon Searo Program ซึ่งระบุแนวทางอย่างชัดเจน เพื่อให้เป็นไปตามกับพันธกิจด้านบรรจุภัณฑ์ภายในปี 2568 ตามที่เราได้ให้คำมั่นไว้ โครงการนี้มีการพิจารณาปัจจัยหลายประการ ตั้งแต่กฎระเบียบไปจนถึงแนวโน้มความต้องการผู้บริโภค รวมทั้งการสัมภาษณ์ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียหลักของเรา และการหารือกับพันธมิตรเช่น มูลนิธิ Ellen Macarthur Foundation ในการพัฒนาโครงการนี้
แนวทางนี้ประกอบไปด้วยการทบทวนผลิตภัณฑ์แบรนด์และบรรจุภัณฑ์ทั้งหมดของเรา รวมทั้งการวิจัยเพื่อหาวัสดุและบรรจุภัณฑ์ที่ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ John West ทำงานอย่างใกล้ชิดกับศูนย์นวัตกรรมไทยยูเนี่ยน (Thai Union Global Innovation Center: GIC) ในการวิจัยและทดสอบบรรจุภัณฑ์ที่ยั่งยืน ซึ่งรวมถึงการใช้วัสดุทางเลือก (ที่สามารถย่อยสลายได้หรือนำกลับมาใช้ใหม่ได้) หรือการออกแบบในรูปแบบอื่นเพื่อลดและขจัดวัสดุที่ไม่จำเป็น โดยมีกำหนดกรอบเวลาในการบรรลุเป้าหมายและพันธกิจที่ตั้งไว้
แนวทางสู่การบรรลุความสำเร็จตามพันธกิจปี 2568 เพิ่งจะเริ่มต้นขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิสัยทัศน์ของ John West คือแนวคิดเรื่องการหมุนเวียนเพื่อการปล่อยคาร์บอนเป็นศูนย์ในอนาคต และมีการมองไปไกลกว่าปี 2568 โดยจะเป็นธุรกิจที่ลดการปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ (net zero carbon emissions) เราต้องมองหาโอกาสในการลดของเสีย และคาร์บอนฟุตพริ้นท์ (carbon footprint) อยู่ตลอดเวลา (เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนประการที่ 13 เรื่องการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ) โดยจะเน้นที่กลยุทธ์หลัก 3 ประการ ได้แก่
- แนวการใช้ทรัพยากรของโลกให้เหมาะสม
- การเป็นผู้บุกเบิกโดยทำงานร่วมกับผู้เชี่ยวชาญเพื่อมุ่งสู่การลดการปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ (carbon neutrality)
- การปิดวงจรหมุนเวียน (Close the Loop) หลังจากการบริโภค เพื่อมีส่วนสร้างเศรษฐกิจแบบหมุนเวียน (circular economy) แทนที่จะเป็นเศรษฐกิจแบบเส้นตรง
เราต้องเข้าใจว่าบรรจุภัณฑ์เป็นเพียงส่วนหนึ่งของพันธกิจการลดการปล่อยคาร์บอนเป็นศูนย์ของเรา โดยเรายังคงมองหาในด้านอื่นๆ ด้วยเช่น วิธีการที่เราจัดหาวัตถุดิบและวิธีการที่เราขนส่งผลิตภัณฑ์ โดยเราตระหนักดีว่าภารกิจนี้ไม่สามารถบรรลุผลได้ภายในหนึ่งปี เนื่องจากต้องให้ความทุ่มเทและการลงทุน ซึ่งเราไม่สามารถทำภารกิจนี้ได้เพียงลำพัง เราต้องพัฒนาความสัมพันธ์และเครือข่ายพันธมิตรอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ตอบสนองต่อความรับผิดชอบของเราที่จะขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืนอย่างแท้จริงและเป็นไปตามวิสัยทัศน์กลุ่มบริษัทไทยยูเนี่ยนที่จะมุ่ง “สร้างชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีให้กับผู้คน และดูแลรักษาความอุดมสมบูรณ์ท้องทะเล” (Healthy Living, Health Oceans)

การรักษาธรรมชาติของโรงงาน European Seafood Investment Portugal (ESIP)
ไทยยูเนี่ยนตระหนักถึงความสำคัญของการลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (GHG) ตัวอย่างเช่น ตั้งแต่ปี 2550 โครงการผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคาโรงงาน (Sun Seeker Project) มีการติดตั้งแผงพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคาโรงงานของเรา ซึ่งประสบผลสำเร็จในการผลิตไฟฟ้าจากแผงพลังงานแสงอาทิตย์ด้วยกำลังการผลิตรวมที่ 8.3 เมกะวัตต์ โดยสามารถผลิตไฟฟ้าได้ราว 15,101,588 กิโลวัตต์ชั่วโมงต่อปี ซึ่งสามารถช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ประมาณ 7,853 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี และยังคงจะเดินหน้าต่อในปีต่อๆ ไป
แต่อย่างไรก็ตาม หนึ่งในข้อกังวลของกลุ่มบริษัทคือ การผลิตไอน้ำ หม้อต้มน้ำ (boiler) ในโรงงานของเราที่ใช้ในการผลิตมีส่วนในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกประมาณ 40 เปอร์เซ็นต์ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกขอบเขต 1 และขอบเขต 2 โดยเรากำลังทำงานอย่างหนักเพื่อหาทางเปลี่ยนจากหม้อต้มน้ำที่ใช้เชื้อเพลิงจากน้ำมันเตาไปใช้พลังงานทดแทนน้ำมันในรูปแบบอื่น การลดการใช้น้ำมันเตาเป็นเรื่องที่สำคัญมากในส่วนนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในโรงงานของเราในประเทศไทย ที่โรงงานสงขลาแคนนิ่ง มีการใช้เศษไม้เป็นเชื้อเพลิงแทนน้ำมันเตา และที่โรงงานของไทยยูเนี่ยนกรุ๊ป และไทยรวมสินพัฒนาอุตสาหกรรม มีการใช้ก๊าซชีวภาพที่ผลิตจากโรงบำบัดน้ำเสียของโรงงาน (เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนประการที่ 13 เรื่องการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ)
ในปี 2563 โครงการนี้ขยายต่อยอดไปในภูมิภาคยุโรป โรงงานของเราในโปรตุเกส (European Seafood Investment Portugal: ESIP) กำลังพยายามลดการใช้น้ำมันเตา ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นคือ ปีที่แล้วโรงงานแห่งนี้ได้ซื้อหม้อต้มใช้เชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติ โดยในช่วงที่ผ่านมา โรงงานได้ค่อยๆ เปลี่ยนจากหม้อต้มน้ำที่ใช้เชื้อเพลิงน้ำมันเตาเป็นหม้อต้มน้ำที่ใช้เชื้อเพลิงจากก๊าซธรรมชาติ และปัจจุบันสามารถผลิตไฟฟ้าด้วยเครื่องต้มใช้เชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติทั้งหมดเป็น 100 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งขจัดความต้องการการใช้น้ำมันเตา และส่งผลให้สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ 115 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี ในลำดับต่อไปของโครงการ โรงงาน ESIP จะเปลี่ยนหม้อต้มน้ำที่ใช้มันเตาที่มีอยู่ไปเป็นแบบที่ใช้เผาเป็นก๊าซธรรมชาติ

การจัดการขยะอาหารในประเทศนอร์เวย์
ขยะอาหารเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นทั่วโลกซึ่งได้มีการรับรู้มากขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา องค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ หรือ FAO ประเมินว่า มีอาหารประมาณ 1.3 พันล้านตัน หรือราว 30 เปอร์เซ็นต์ของการผลิตทั่วโลกที่มีการสูญเสียหรือกลายเป็นขยะในแต่ละปี ในขณะที่องค์กร Action Against Hunger กล่าวว่า ประชากรราว 690 ล้านคนขาดสารอาหารอย่างต่อเนื่อง (ได้รับสารอาหารที่น้อยกว่า 1,800 แคลอรี่ต่อวัน) แม้ว่าทั่วโลกมีการผลิตอาหารมากเกินจำนวนประชากรก็ตาม ดังนั้น จึงเป็นเรื่องสำคัญยิ่งที่เราต้องดำเนินการเพื่อให้มั่นใจว่าอาหารไม่เสียเปล่า และได้ช่วยขจัดความหิวโหย ซึ่งไทยยูเนี่ยนตระหนักถึงพันธกิจเรื่องนี้ โดยเราได้ทำงานเพื่อตอบโจทย์เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนประการที่ 2 เรื่องการขจัดความหิวโหย
ในปี 2560 รัฐบาลนอร์เวย์ได้ร่วมกับบริษัทผลิตอาหาร โดยมีการตั้งเป้าหมายเพื่อจะลดขยะอาหารในประเทศนอร์เวย์ให้ได้ 50 เปอร์เซ็นต์ภายในปี 2573 ภายใต้โครงการขจัดความหิวโหย (Zero Hunger Challenge) และตั้งเป้าหมายที่จะนำระบบอาหารทั้งหมดมาปรับใช้เพื่อลดการสูญเสียหรือขยะอาหาร โครงการนี้มีบริษัทและองค์กรทั้งในและต่างประเทศแสดงความจำนงให้การสนับสนุน ซึ่งรวมไปถึงกระทรวงต่างๆ 5 กระทรวงของรัฐบาล และบริษัทต่างๆ อีกมากกว่า 100 แห่ง ทั้งนี้ King Oscar ซึ่งเป็นแบรนด์ของไทยยูเนี่ยนก็ได้เข้าร่วมโครงการเช่นกัน โดยบริษัทมุ่งจะลดขยะของตนเองและรายงานเรื่องนี้เป็นประจำทุกปีต่อ Ministry of Climate and Environment ของนอร์เวย์
King Oscar มีแผนงานที่ได้กำหนดเป้าหมายอย่างชัดเจนในเรื่องขยะอาหาร โดยตั้งวิสัยทัศน์ที่จะขจัดขยะให้เป็นศูนย์ ในการบรรลุเป้าหมายดังกล่าวต้องพิจารณาทุกส่วนในองค์กรอย่างใกล้ชิด ตั้งแต่ห่วงโซ่อุปทานไปจนถึงการบริหารการเงิน ตลอดจนด้านการตลาด และการพัฒนาผลิตภัณฑ์และการขาย ซึ่งสิ่งสำคัญคือ ทุกอย่างต้องสามารถวัดผลและสามารถทำได้ โดยรวมถึงการวัดมูลค่าโรงงานต่างๆ ในด้านปริมาณขยะอาหารของพวกเขา และมอบหมายให้ผู้อำนวยการด้านการขายเป็นผู้รับผิดชอบเรื่องค่าของเสียของสินค้าสำเร็จรูป สำหรับวัตถุประสงค์ในส่วนนี้คือ การสามารถใช้วัตถุดิบทั้งหมดจากการผลิต และการนำ co-product รวมถึงการนำปลาส่วนเกินหรือปลาคุณภาพต่ำมาใช้เป็นสำหรับสินค้า เช่น อาหารปลา และน้ำมันตับปลา นอกจากนี้ ประเด็นเรื่องการผลิตอื่นๆ เป็นเรื่องที่มีการจัดการในโรงงานต่างๆ เช่นกัน
โครงการริเริ่มนี้มีความสำคัญต่อ King Oscar และพนักงานซึ่งทำงานอย่างเต็มที่ในการลดการสูญเสีย ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นคือ เราสามารถกล่าวได้อย่างภาคภูมิว่า ในระหว่างปี 2560 ถึงปี 2563 ไม่มีการทิ้งผลิตภัณฑ์ที่ผลิตเสร็จแล้วเลยที่ King Oscar Norway
เว็บไซต์นี้มีการจัดเก็บคุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้งานของท่าน และการมอบบริการที่ดีที่สุดจากเรา กรุณากดยอมรับท่านสามารถเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับการใช้งานคุกกี้ของเราได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว