บริษัท Japan Credit Rating Agency ได้ประกาศอันดับความน่าเชื่อถือของไทยยูเนี่ยนอยู่ที่อันดับ A-

อันดับความน่าเชื่อถือ A- เป็นอันดับเดียวกับอันดับความน่าเชื่อถือตราสารหนี้ระยะยาวสกุลเงินต่างประเทศที่ประเทศไทยได้รับ

กรุงเทพฯ – 17 สิงหาคม 2563 – บริษัท Japan Credit Rating Agency, Ltd. หรือ JCR ได้ประกาศว่า บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หนึ่งในผู้นำธุรกิจอาหารทะเลระดับโลก ได้รับการจัดอันดับเครดิตองค์กร สำหรับตราสารหนี้ระยะยาวสกุลเงินต่างประเทศที่ A- โดยแนวโน้มของเครดิตอยู่ในระดับคงที่ จากการที่บริษัทมีธุรกิจกระจายตัวทั่วโลกและมีความมั่นคงทางรายได้ โดยอันดับเครติดองค์กร A- ที่บริษัทได้รับนั้นเป็นระดับเดียวกันกับที่ประเทศไทยได้รับ

JCR ได้รายงานว่า อันดับเครดิต A- ของไทยยูเนี่ยนนั้นมาจากโครงสร้างทางธุรกิจที่มีความเข้มแข็ง มีการดำเนินงานทั้งในประเทศไทย สหรัฐอเมริกา และยุโรป บริษัทได้มีการควบรวมกิจการแบรนด์ต่างๆ ที่เป็นที่รู้จักทั่วโลกมาอย่างยาวนาน ทาง JCR ยังได้เพิ่มเติมว่า ไทยยูเนี่ยนประสบความสำเร็จในการลดต้นทุนในการผลิตจากความได้เปรียบในด้านต้นทุนที่ผลิตสินค้าในปริมาณมาก นอกจากนี้บริษัทยังมีการลงทุนในการใช้เครื่องจักรกลเข้ามาช่วยในกระบวนการผลิต และให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน

ธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ผมมีความภาคภูมิใจอย่างยิ่งที่ไทยยูเนี่ยนได้รับการจัดอันดับเครดิตองค์กรที่ระดับ A- ซึ่งเป็นระดับเดียวกันกับที่ประเทศไทยได้รับ สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นที่ไทยยูเนี่ยนสามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่องท่ามกลางสถานการณ์ปัจจุบันที่มีความท้าทาย และสามารถสร้างผลตอบแทนให้กับนักลงทุนและผู้ถือหุ้นมาโดยตลอด ในฐานะบริษัทที่ดำเนินธุรกิจอยู่ทั่วโลก เรายังคงมุ่งมั่นในการผลิตสินค้าที่ดีต่อสุขภาพและถูกหลักโภชนาการให้กับผู้บริโภคทั่วโลกต่อไป”

ด้วยธุรกิจของไทยยูเนี่ยนที่มีอยู่ทุกภูมิภาคทั่วโลกทำให้บริษัทสามารถผลักดันยอดขายให้เติบโตได้อย่างต่อเนื่อง โดยยอดขายในครึ่งแรกของปี 2564 สหรัฐอเมริกาเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดของไทยยูเนี่ยน โดยมีส่วนแบ่งยอดขายอยู่ที่ 44 เปอร์เซ็นต์ รองลงมาคือยุโรป 29 เปอร์เซ็นต์ ประเทศไทย 11 เปอร์เซ็นต์ และตลาดอื่นๆ 16 เปอร์เซ็นต์

ลูโดวิค การ์นิเยร์ ประธานเจ้าหน้าที่ด้านการเงินกลุ่มบริษัท กล่าวถึงวินัยทางการเงินซึ่งเป็นกุญแจสำคัญของการดำเนินธุรกิจของไทยยูเนี่ยนว่า “ตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา เราได้ให้ความสำคัญอย่างต่อเนื่องในเรื่องของความสามารถในการทำกำไร ผลการดำเนินงาน และการบริหารจัดหาแหล่งเงินทุนให้มีความหลากหลาย เรามีแผนการเงินที่ชัดเจนในการพัฒนาสถานะทางการเงินของบริษัทในภาพรวม ซึ่งรวมถึงสัดส่วนของหนี้สินสุทธิต่อทุนและสัดส่วนหนี้สินสุทธิต่อกำไรก่อนหักค่าใช้จ่ายดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย ผมยินดีที่ทาง JCR ได้ประกาศให้อันดับเครดิตของไทยยูเนี่ยนที่ A- ซึ่งจะช่วยให้เราเป็นที่สนใจของนักลงทุนในวงกว้างมากขึ้น”

เมื่อต้นปีที่ผ่านมา ไทยยูเนี่ยนได้ออกสินเชื่อส่งเสริมความยั่งยืน (Sustainability Linked Loan) ทั้งในประเทศไทยและญี่ปุ่น รวมกันเป็นจำนวน 12,000 ล้านบาท ระยะเวลา 5 ปี โดยการขอสินเชื่อส่งเสริมความยั่งยืนของไทยยูเนี่ยนได้รับการตอบรับมากกว่าจำนวนที่ต้องการมากกว่าสองเท่า ความสำเร็จนี้ได้สะท้อนให้เห็นถึงก้าวสำคัญของบริษัทในการตั้งเป้าสู่ Blue Finance หรือการบริหารจัดการการเงินเพื่อโครงการและการทำงานในการอนุรักษ์มหาสมุทร

และในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ไทยยูเนี่ยนตอกย้ำทิศทางดังกล่าว โดยได้ออกหุ้นกู้ส่งเสริมความยั่งยืน (Sustainability Linked Bond) ซึ่งเป็นหุ้นกู้ที่มีเป็นครั้งแรกในประเทศไทย มูลค่า 5,000 ล้านบาท ชนิดระบุชื่อผู้ถือ ประเภทไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน อายุ 7 ปี อัตราดอกเบี้ย 2.47% ต่อปี ให้แก่ผู้ลงทุนสถาบัน

“หุ้นกู้ส่งเสริมความยั่งยืนของไทยยูเนี่ยนมีจำนวนยอดจองซื้อมากกว่า 8,900 ล้านบาท หรือ มากกว่า 2.23 เท่า สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นที่มีต่อบริษัททั้งในด้านความแข็งแกร่งของธุรกิจและความเป็นผู้นำในด้านเศรษฐกิจสีฟ้า และด้วยจำนวนยอดจองซื้อที่เกิดขึ้นทำให้บริษัทพิจารณาเพิ่มมูลค่าการออกหุ้นกู้จากที่วางแผนไว้ที่ 4,000 ล้านบาท เป็น 5,000 ล้านบาท นอกจากนี้ เรายังได้นำนวัตกรรมด้านการเงินสีฟ้าเข้ามาใช้ โดยหุ้นกู้ส่งเสริมความยั่งยืนของไทยยูเนี่ยนยังเป็นครั้งแรกของโลกมีลักษณะทางการเงินแบบ Step up/ Step down ซึ่งเป็นโครงสร้างที่มีอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นหรือลดลง ขึ้นอยู่กับความสำเร็จของการดำเนินงานสู่เป้าหมายด้านความยั่งยืน โดยมีการเชื่อมโยงอัตราดอกเบี้ยของหุ้นกู้กับเป้าหมายด้านความยั่งยืน” ธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ไทยยูเนี่ยน กล่าวทิ้งท้าย

เกี่ยวกับ บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)

บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เป็นผู้นำธุรกิจอาหารทะเลของโลก ซึ่ง ส่งมอบผลิตภัณฑ์อาหารทะเลที่มีนวัตกรรม รสชาติดี มีประโยชน์ต่อสุขภาพ และมีคุณภาพสูงให้กับผู้บริโภคทั่วโลกมาเป็นเวลากว่า 40 ปี

วันนี้ บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป ได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้นำธุรกิจอาหารทะเลอันดับโลก โดยเป็นหนึ่งในผู้ผลิตปลาทูน่าในบรรจุภัณฑ์ชนิดต่างๆ ที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยมียอดขายต่อปีมากกว่า 132,402 ล้านบาท (4.2 พันล้านเหรียญสหรัฐ) และมีพนักงานทั่วโลกรวมกันมากกว่า 44,000 คน ซึ่งล้วนทุ่มเทคิดค้นผลิตภัณฑ์อาหารทะเลที่มีนวัตกรรมและมีความยั่งยืน

ไทยยูเนี่ยนเป็นเจ้าของแบรนด์ทั่วโลก ประกอบด้วย แบรนด์ที่เป็นผู้นำตลาดโลกอย่าง Chicken of the Sea, John West, Petit Navire, Parmentier, Mareblu, King Oscar และ Rügen Fisch รวมทั้งแบรนด์ชั้นนำในประเทศไทย ได้แก่ ซีเล็ค ฟิชโช คิวเฟรช โมโนริ เบลลอตต้า และมาร์โว่ รวมถึงผลิตภัณฑ์ส่วนประกอบอาหารและอาหารเสริมเพื่อสุขภาพ ได้แก่ UniQ™BONE, UniQ™DHA และ ZEAvita

จากพันธกิจในการเป็นบริษัทแห่งนวัตกรรมและดำเนินงานด้วยความรับผิดชอบทั่วโลก ไทยยูเนี่ยนภูมิใจที่ได้เป็นหนึ่งในภาคีข้อตกลงโลกแห่งสหประชาชาติ (United Nations Global Compact) และเป็นผู้ร่วมก่อตั้งมูลนิธิเพื่อความยั่งยืนของอาหารทะเลสากล (International Seafood Sustainability Foundation: ISSF) ในปี 2558 ไทยยูเนี่ยนเปิดตัวกลยุทธ์ด้านความยั่งยืน SeaChange® และดำเนินการในเรื่องดังกล่าวอย่างต่อเนื่องเรื่อยมาโดยตลอด จนส่งผลให้ไทยยูเนียนได้รับการคัดเลือกให้เป็นสมาชิกของดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์ (Dow Jones Sustainability Indices หรือ DJSI) สำหรับตลาดเกิดใหม่ 7 ปีติดต่อกัน โดยในปี 2563 ได้รับเลือกเป็นบริษัทอันดับ 2 ของกลุ่มอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์อาหาร นอกจากนี้ไทยยูเนี่ยนยังได้รับการคัดเลือกให้ติดอันดับดัชนี FTSE4Good Emerging Index เป็นปีที่ 5 ติดต่อกัน