ไทยยูเนี่ยนอินกรีเดียนท์เปิดศูนย์วิจัยและพัฒนาน้ำมันโอเมก้า 3

  • ศูนย์วิจัยและพัฒนาแห่งใหม่ของไทยยูเนี่ยนอินกรีเดียนท์ในจังหวัดสมุทรสาครเดินหน้าค้นคว้าการกลั่นน้ำมันโอเมก้า 3 ให้มีประสิทธิภาพในด้านต่างๆ มากยิ่งขึ้นสำหรับการผลิตเพื่อตอบโจทย์ลูกค้า
  • ศูนย์วิจัยและพัฒนาได้เปิดดำเนินการแล้ว สำหรับผู้ที่สนใจทดลองและร่วมมือกับบริษัทฯ

กรุงเทพมหานคร, 4 พฤษภาคม 2022 – บริษัท ไทยยูเนี่ยน อินกรีเดียนท์ จำกัด ได้เริ่มเปิดดำเนินการศูนย์วิจัยและพัฒนาน้ำมันโอเมก้า 3 (Omega-3 Center of Excellence; O3C) ด้วยเทคโนโลยีขั้นสูงที่ถูกออกแบบมาเพื่อพัฒนาการกลั่นน้ำมันโอเมก้า 3 ชนิดต่างๆ ให้มีประสิทธิภาพ ด้วยกรรมวิธีเฉพาะ โดยบริษัทต่างๆ ที่สนใจสามารถร่วมมือกับศูนย์วิจัยและพัฒนาน้ำมันโอเมก้า 3 สำหรับการผลิตนมผง อาหารเสริมและอาหารทางโภชนาการต่างๆ ได้แล้ววันนี้

ศูนย์วิจัยฯแห่งนี้ตั้งอยู่ในพื้นที่โรงงานสกัดน้ำมันปลาดิบของไทยยูเนี่ยน อินกรีเดียนท์ในจังหวัดสมุทรสาคร มีพื้นที่ 225 ตารางเมตร พร้อมทั้งนักวิจัย 3 คน ห้องทดลองและเครื่องมือวิจัยด้วยเทคโนโลยีขั้นสูง พร้อมที่จะเดินหน้าพัฒนาผลิตภัณฑ์ต่างๆ จากน้ำมันโอเมก้า 3 โดยศูนย์วิจัยฯจะทำงานร่วมกับโรงกลั่นน้ำมันโอเมก้า 3 ของบริษัทในเมืองรอสต็อค ประเทศเยอรมัน

นอกจากศูนย์วิจัยและพัฒนาน้ำมันโอเมก้า 3 จะมีส่วนร่วมสำคัญในการพัฒนาการกลั่นน้ำมันสำหรับผลิตภัณฑ์ UniQ DHA แล้ว ศูนย์วิจัยฯ นี้ยังมีบทบาทสำคัญในการพัฒนากระบวนการกลั่นน้ำมันโอเมก้า 3 ชนิดอื่นๆ เช่น น้ำมันปลาชนิดอื่นๆ และน้ำมันสาหร่าย อีกด้วย การวิจัยการผลิตน้ำมันเหล่านี้รวมไปถึงการทดสอบคุณค่าทางโภชนาการ ลักษณะทางประสาทสัมผัส และความเข้มข้นของดีเอชเอ ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญในนมผงเด็ก

มาตรฐานการผลิตตลอดทุกขั้นตอน

ที่ศูนย์วิจัยฯ กระบวนการต่างๆ เริ่มจากการเฟ้นหาวัตถุดิบที่เหมาะสม พัฒนาขั้นตอนการกลั่นเป็นน้ำมันด้วยเทคโนโลยีล่าสุด เพื่อนำมาผลิตเป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้คุณภาพตามมาตรฐานต่างๆและตามความต้องการของลูกค้า เมื่อกระบวนการเหล่าๆ นี้เสร็จสมบูรณ์ เทคโนโลยี องค์ความรู้ และวัตถุดิบจะถูกขนส่งไปยังรอสต็อค เพื่อตรวจสอบคุณภาพ ทดลองการผลิตในปริมาณที่มากขึ้น ก่อนมีการผลิตจริงเพื่อส่งไปยังลูกค้าทั่วโลกต่อไป

ศูนย์วิจัยและพัฒนาน้ำมันโอเมก้า 3 นี้เป็นหัวใจสำคัญของแผนกลยุทธ์ในการสร้างประโยชน์จากทุกส่วนของปลาที่เข้าสู่กระบวนการผลิตของไทยยูเนี่ยน อินกรีเดียนท์ ซึ่งจะนำไปผลิตเป็นส่วนผสมที่อุดมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ ตอบโจทย์การดำเนินชีวิตของผู้บริโภคทุกวัย

นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธารเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “เป้าหมายของบริษัทในการดูแลสุขภาพที่ดีให้กับผู้คน ควบคู่ไปกับการดูแลท้องทะเลให้อุดมสมบูรณ์ ยังเป็นกลยุทธ์และหัวใจสำคัญของธุรกิจและการมองไปยังอนาคต ศูนย์วิจัยและพัฒนาน้ำมันโอเมก้า 3 แห่งนี้เป็นเครื่องยืนยันวิสัยทัศน์ของเราในเรื่องดังกล่าวได้เป็นอย่างดี เพื่อให้มั่นใจได้ว่าเราจะใช้ประโยชน์สูงสุดจากปลาทุกตัวในทุกโรงงานให้ผู้คนทุกช่วงวัยมีสุขภาพที่ดีและแข็งแรง”

ลีโอนาดัส คูลเลน กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทยยูเนี่ยน อินกรีเดียนท์ กล่าวว่า “ศูนย์วิจัยและพัฒนาน้ำมันโอเมก้า 3 นับเป็นอีกก้าวของบริษัทเพื่อเป็นเครื่องยืนยันในการส่งมอบส่วนผสมที่มีประโยชน์และคุณภาพสูงสุดให้กับลูกค้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับลูกค้าที่สนใจร่วมมือกับเราในการผลิตน้ำมันโอเมก้า 3 เนื่องจากเราสามารถปรับปรุงกระบวนการผลิตในจุดสุดท้ายของห่วงโซ่อุปทานแบบครบวงจรสำหรับการผลิตที่โรงงานรอสต็อกได้ เพื่อนำส่งน้ำมันโอเมก้า 3 ที่มีคุณภาพสูงสุด ให้กับลูกค้าทั้งในยุโรปและทั่วโลก และในอนาคตอันใกล้นี้เราจะติดตั้งเครื่องมือสำหรับโรงงานนำร่องที่คล้ายคลึงกับโรงงานของเราในเมืองรอสต็อคแต่มีขนาดเล็กกว่าเพื่อที่จะช่วยในเรื่องของการปรับขั้นตอนการผลิตจากห้องทดลองไปสู่การผลิตเชิงพาณิชย์ในโรงงาน เรายินดีต้อนรับและร่วมงานกับบริษัทที่สนใจในการผลิตน้ำมันโอเมก้า 3 คุณภาพสูง เรามีทีมงาน ความเชี่ยวชาญ และโรงงานที่พร้อมที่จะผลิตสินค้าตามความต้องการของลูกค้า”

หากบริษัทใดสนใจในศูนย์วิจัยและพัฒนาน้ำมันโอเมก้า 3 และผลิตภัณฑ์อื่นๆจากไทยยูเนี่ยนอินกรีเดียนท์ สามารถเข้ามาพูดคุยกับผู้บริหารของเรา ลีโอนาดัส คูลเลน กรรมการผู้จัดการ และ ลินดา เรน ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด ได้ที่งาน วิต้าฟู้ดส์ ยุโรป (Vitafoods Europe) ณ กรุงเจนีวา ระหว่างวันที่ 10-12 พฤษภาคม (บูธในงาน) และระหว่างวันที่ 2-13 พฤษภาคม (ออนไลน์) ได้ที่

https://www.vitafoods.eu.com/en/home.html

เกี่ยวกับ บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)

บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เป็นผู้นำด้านอาหารทะเลระดับโลกที่นำผลิตภัณฑ์อาหารทะเลคุณภาพสูง ดีต่อสุขภาพ อร่อย และสร้างสรรค์ มาสู่ลูกค้าทั่วโลกมาเป็นกว่า 45 ปี

ปัจจุบัน ไทยยูเนี่ยนถือได้ว่าเป็นหนึ่งในผู้ผลิตอาหารทะเลชั้นนำของโลกและเป็นหนึ่งในผู้ผลิตปลาทูน่าในบรรจุภัณฑ์ชนิดต่างๆ ที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยมียอดขายต่อปีเกินกว่า 141,000 ล้านบาท (4,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) และแรงงานทั่วโลกกว่า 44,000 คน ที่ทุ่มเทให้กับการบุกเบิกผลิตภัณฑ์อาหารทะเลที่สร้างสรรค์และยั่งยืน

ไทยยูเนี่ยนเป็นเจ้าของแบรนด์ทั่วโลก ประกอบด้วย แบรนด์ที่เป็นผู้นำตลาดโลกอย่าง Chicken of the Sea, John West, Petit Navire, Parmentier, Mareblu, King Oscar และ Rügen Fisch รวมทั้งแบรนด์ชั้นนำในประเทศไทย ได้แก่ ซีเล็ค ฟิชโช คิวเฟรช โมโนริ OMG MEAT เบลลอตต้า และมาร์โว่ นอกจากนี้ยังมีส่วนประกอบอาหารภายใต้แบรนด์ UniQ®BONE และ Uni®DHA UniQ™BONE และผลิตภัณฑ์อาหารเสริมเพื่อสุขภาพแบรนด์ ZEAVITA

จากพันธกิจในการเป็นบริษัทแห่งนวัตกรรมและดำเนินงานด้วยความรับผิดชอบทั่วโลก ไทยยูเนี่ยนภูมิใจที่ได้เป็นหนึ่งในภาคีข้อตกลงโลกแห่งสหประชาชาติ (United Nations Global Compact) และเป็นผู้ร่วมก่อตั้งมูลนิธิเพื่อความยั่งยืนของอาหารทะเลสากล (International Seafood Sustainability Foundation: ISSF) ในปี 2558 ไทยยูเนี่ยนเปิดตัวกลยุทธ์ด้านความยั่งยืน SeaChange® และดำเนินการในเรื่องดังกล่าวอย่างต่อเนื่องเรื่อยมาโดยตลอด จนส่งผลให้ไทยยูเนียนได้รับการคัดเลือกให้เป็นสมาชิกของดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์ (Dow Jones Sustainability Indices หรือ DJSI) สำหรับตลาดเกิดใหม่ 8 ปีติดต่อกัน โดยในปี 2564 ได้รับเลือกเป็นบริษัทอันดับ 2 ของกลุ่มอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์อาหาร นอกจากนี้ไทยยูเนี่ยนยังได้รับการคัดเลือกให้ติดอันดับดัชนี FTSE4Good Emerging Index เป็นปีที่ 5 ติดต่อกัน