"ไทยยูเนี่ยน" ร่วมทุน "ซาโวลา ฟู้ดส์" รุกตลาดตะวันออกกลาง


บรรยายใต้ภาพ เมื่อวันจันทร์ที่ 7 กันยายน 2558 นายเชง นิรุตตินานนท์ ประธานคณะกรรมบริหารกลุ่มไทยยูเนี่ยน และ มร.บาเดอร์ ฮามิด อูจัน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารซาโวลา ฟู้ดส์ คอมพานี จับมือแสดงความยินดีต่อกันและกันหลังเซ็นลงนามการก่อตั้งกิจการร่วมทุน ณ สำนักงานใหญ่ของซาโวลา ฟู้ดส์ คอมพานี ที่นครเจดดาห์ ราชอาณาจักรซาอุดิอาระเบีย นับเป็นการตกลงความร่วมมือทางธุรกิจเชิงยุทธศาสตร์รายที่4ในรอบปีของกลุ่ม ไทยยูเนี่ยน ผู้ผลิตทูน่ารายใหญ่ที่สุดของโลกและเป็นเจ้าของแบรนด์อาหารทะเลสำเร็จ รูประดับโลกมากมายหลายแบรนด์

กรุงเทพฯ, 8 กันยายน 2558 - ไทยยูเนี่ยน ผู้ผลิตอาหารทะเลระดับโลก และ ซาโวลา ฟู้ดส์ คอมพานี (Savola Foods Company) ผู้ผลิตสินค้าอุปโภคบริโภครายใหญ่ที่สุดในภูมิภาคตะวันออกกลาง ร่วมกันแถลงถึงการร่วมทุน ( เพื่อนำมาซึ่งนวัตกรรมผลิตภัณฑ์อาหารทะเลคุณภาพที่มาจากแหล่งวัตถุดิบที่ ยั่งยืนเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคชาวตะวันออกกลาง

ไทยยูเนี่ยน เป็นผู้นำอาหารทะเลของโลกด้วยฐานการผลิตกว่า 20 แห่งทั่วโลก ทั้งในทวีปเอเชีย ยุโรป แอฟริกา และอเมริกาเหนือ ที่ผลิตอาหารทะเลหลากหลายประเภท ทั้งจากปลาทูน่า กุ้ง ปลาซาร์ดีน ปลาแมคเคอเรล และปลาแซลมอน ทั้งยังเป็นเจ้าของแบรนด์อาหารทะเลระดับโลก อาทิ John West, Chicken of the

Sea, Petit Navire และ Mareblu ซึ่งปัจจุบันไทยยูเนี่ยน เป็นผู้ผลิตปลาทูน่ารายใหญ่ที่สุดในโลกและเป็น

ผู้ก่อตั้งและดำเนินการศูนย์นวัตกรรมระดับโลกที่เน้นการสร้างนวัตกรรม อาหารจากปลาทูน่าเป็นรายแรกและรายเดียวของโลกร่วมกับมหาวิทยาลัยมหิดล

ซาโวลา ฟู้ดส์ คอมพานี เป็นบริษัทในเครือของกลุ่มซาโวลา (Savola Group) ซึ่งจดทะเบียนตลาดหลักทรัพย์ในราชอาณาจักรซาอุดิอาระเบีย และเป็นหนึ่งในบริษัทอาหารที่ใหญ่ที่สุดของตะวันออกกลาง โดยเน้นทำการตลาดผลิตภัณฑ์อาหารสำหรับผู้บริโภคทั่วไป เช่น น้ำมันปรุงอาหาร น้ำตาล และเส้นพาสต้า โดยในปี 2557 ซาโวลา ฟู้ดส์ คอมพานี ทำรายได้รวม 14.59 พันล้านเหรียญไรยัล (ประมาณ 3.9 พันล้านเหรียญสหรัฐ) และมีแบรนด์อาหารที่แข็งแกร่งอย่าง Afia, Alarabi Ladan และ Yudum

การร่วมทุนในครั้งนี้จะเอื้อประโยชน์ต่อทั้งสองบริษัท ในเรื่องการเข้าถึงแหล่งอาหารทะเลทั่วโลกจากความเชี่ยวชาญระดับโลกของไทยยู เนี่ยน และความเชี่ยวชาญระดับผู้นำภูมิภาคของซาโวลา ฟู้ดส์ คอมพานี อีกทั้งการร่วมเป็นพันธมิตรทางธุรกิจจะช่วยเสริมความแข็งแกร่งซึ่งกันและกัน ของทั้งสองฝ่าย โดยที่ไทยยูเนี่ยนมีความแข็งแกร่งด้านการสรรหาวัตถุดิบ การผลิต การพัฒนาและ

วิจัย ในขณะที่ทางซาโวลา ฟู้ดส์ คอมพานี มีความแข็งแกร่งด้านการขาย การตลาด และการจัดจำหน่าย นอกจากนี้ด้วยความเชี่ยวชาญในการทำการตลาดและความเข้าใจในผู้บริโภคของทั้ง สองฝ่ายจึงเลือกที่จะใช้แบรนด์ John West เป็นแบรนด์ธงในการทำตลาดตะวันออกกลาง

การร่วมทุนนี้จะทำการตลาดผลิตภัณฑ์อาหารทะเลทุกกลุ่มของไทยยูเนี่ยน และในทุกรูปแบบบรรจุภัณฑ์ทั้งแบบอุณหภูมิห้อง แช่เย็น แช่แข็ง และแบบพร้อมรับประทาน โดยการร่วมทุนนี้จะดำเนินการใน 12 ประเทศของภูมิภาคตะวันออกกลางได้แก่ ซาอุดิอาระเบีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ โอมาน คูเวต บาห์เรน กาตาร์ จอร์แดน เลบานอน ซีเรีย อิรัก อิหร่าน และ อียิปต์

นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มไทยยูเนี่ยน กล่าวว่า ภูมิภาคตะวันออกกลางนับเป็นหนึ่งในตลาดอาหารทะเลที่โตเร็วที่สุดตลาดหนึ่ง อีกทั้งมีวัฒนธรรมการบริโภคอาหารทะเลมายาวนาน และยังมีอัตราการบริโภคอาหารทะเลต่อหัวที่เพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ผมจึงรู้สึกตื่นเต้นมากกับการร่วมทุนในครั้งนี้

ทั้งนี้ตลาดตะวันออกกลางมีมูลค่าสูงกว่า 3 พันล้านเหรียญสหรัฐ และมีอัตราการเติบโตสูงในอีกหลายปีข้างหน้า จากรายงานข้อมูลสถิติตลาดหลักในภูมิภาคตะวันออกกลางอย่างประเทศอิรัก อิหร่าน และซาอุดิอาระเบีย รวมกันแล้วนำเข้าอาหารทะเลกว่า 2 พันล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2557 และมีอัตราการเติบโตโดยเฉลี่ยสูงถึงร้อยละ 4 ต่อปีในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา สำหรับการร่วมทุน เราคาดหวังที่จะได้ส่วนแบ่งทางการตลาดนี้พอสมควร โดยคาดว่าจะบรรลุยอดขายต่อปีได้เกินกว่า 400 ล้านเหรียญสหรัฐ ภายใน 3-4 ปีข้างหน้า

มร.มารัฟ อับเดอร์ระฮีม ประธานเจ้าหน้าที่บริหารซาโวลา ฟู้ดส์ บิสเนส ดีเวล็อปเม้นท์ (Savola Foods Business Development) กล่าวเพิ่มเติมว่า อาหารทะเลเป็นอาหารที่สำคัญต่อสุขภาพของผู้บริโภค แต่ในปัจจุบันตัวเลือกในตลาดของเรามีค่อนข้างจำกัด ดังนั้นเราจึงมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้จับมือ

กับไทยยูเนี่ยน และมุ่งมั่นที่จะนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่ดีที่สุดในตลาดของเรา ทั้งนี้ทางกลุ่มไทยยูเนี่ยน และ ซาโวลา ฟู้ดส์ คอมพานี มีแผนที่จะลงทุนร่วมกันประมาณ 30 ถึง 50 ล้านเหรียญสหรัฐ ภายในสองปีข้างหน้า