ไทยยูเนี่ยนเปิดโรงกลั่นน้ำมันปลาด้วยเทคโนโลยีขั้นสูงที่ประเทศเยอรมัน

  • ไทยยูเนี่ยนก้าวเป็นผู้ผลิตน้ำมันปลารายเดียวที่ดูแลการผลิตได้ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ
  • น้ำมันปลาเป็นแหล่งโอเมก้า 3 และดีเอชเอที่ดีที่สุดแหล่งหนึ่ง และมีประโยชน์ต่อสุขภาพของคนทุกช่วงวัยและพัฒนาการของทารก

บรรยายภาพ: ไทยยูเนี่ยน มารีน นูเทรียนส์ โรงกลั่นน้ำมันปลาด้วยเทคโนโลยีขั้นสูง ตั้งอยู่ที่เมืองรอสต็อค ประเทศเยอรมัน

14 พฤศจิกายน 2561, กรุงเทพฯ และรอสต็อค ประเทศเยอรมัน – บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หนึ่งในผู้ผลิตอาหารทะเลชั้นนำของโลก ได้สร้าง ไทยยูเนี่ยน มารีน นูเทรียนส์ ซึ่งเป็นโรงกลั่นน้ำมันปลาด้วยเงินทุน 24 ล้านเหรียญสหรัฐ สำเร็จเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โรงกลั่นน้ำมันปลาด้วยเทคโนโลยีขั้นสูงนี้ตั้งอยู่ที่เมืองรอสต็อค ประเทศเยอรมัน มีความสามารถในการกลั่นน้ำมันปลาบริสุทธิ์ซึ่งนับเป็นแหล่งของโอเมก้า 3 และดีเอชเอ มีประโยชน์ต่อสุขภาพของคนทุกช่วงวัยและพัฒนาการในทารก

โรงกลั่นที่สร้างขึ้นมาใหม่นี้ทำให้ไทยยูเนี่ยนเป็นผู้ผลิตน้ำมันปลาทูน่าเกรดพรีเมี่ยมรายเดียวที่ดูแลการผลิตได้ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ การสกัดน้ำมันปลาในขั้นตอนแรกนั้นเกิดขึ้นที่โรงงานของไทยยูเนี่ยนในจังหวัดสมุทรสาคร ประเทศไทย ก่อนจะขนส่งน้ำมันไปที่ท่าเรือเมืองฮัมบูร์กเพื่อทำการส่งไปที่โรงงานในเมืองรอสต็อคต่อไป

นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป กล่าวว่า “เรามุ่งมั่นที่จะสร้างอนาคตที่ยั่งยืนให้กับอุตสาหกรรมปลาทูน่าด้วยการสกัดสารอาหารจากส่วนต่างๆ ของปลาทูน่าให้เกิดประโยชน์สูงสุด น้ำมันปลาทูน่าบริสุทธิ์นี้เป็นเพียงก้าวแรกของการนำนวัตกรรมมาพัฒนาธุรกิจ Marine Ingredients”

หน่วยธุรกิจ Marine Ingredients ของไทยยูเนี่ยนเกิดขึ้นในปี 2560 เพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดที่เพิ่มมากขึ้นในการบริโภคสารอาหารที่มีคุณค่าจากอาหารทะเล อาทิ สารอาหารโอเมก้า 3 จากอาหารทะเล เป็นต้น โดยหน่วยธุรกิจนี้ได้นำผลงานการค้นคว้าจากศูนย์นวัตกรรมไทยยูเนี่ยนมาพัฒนาขึ้นเป็นธุรกิจและผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูง

บรรยายภาพ: ไทยยูเนี่ยน มารีน นูเทรียนส์ – น้ำมันปลาทูน่านับเป็นแหล่งโอเมก้า 3 และดีเอชเอที่ดีที่สุดแหล่งหนึ่ง และมีประโยชน์ต่อสุขภาพของคนทุกช่วงวัยและพัฒนาการในทารก

ในระยะแรก โรงงาน ไทยยูเนี่ยน มารีน นูเทรียนส์ แห่งนี้ตั้งเป้าผลิตน้ำมันปลาทูน่า 5,000 เมตริกตันต่อปี เพื่อส่งเป็นวัตถุดิบให้แก่โรงงานผู้ผลิตสินค้าสารอาหาร อาทิ อาหารสำหรับทารก อาหารเสริม และอาหารสำหรับผู้ป่วย เป็นต้น

“โรงกลั่นน้ำมันปลาถือเป็นจุดเริ่มต้นของไทยยูเนี่ยนบนเส้นทางแห่งนวัตกรรมความยั่งยืน เพราะหลังจากเราสกัดน้ำมันแล้ว ยังมีสารอาหารที่มีประโยชน์จากปลาทูน่าที่ไทยยูเนี่ยนสามารถพัฒนาต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย นับเป็นก้าวที่ยั่งยืนด้วยนวัตกรรมของไทยยูเนี่ยนอย่างแท้จริง” นายธีรพงศ์ กล่าวทิ้งท้าย

ไทยยูเนี่ยนให้ความสำคัญกับนวัตกรรมความยั่งยืน โดยยึดเป็นแนวทางเดียวกับ SeaChange® ซึ่งเป็นกลยุทธ์ความยั่งยืนของบริษัท นอกจากนี้ไทยยูเนี่ยนยังได้รับการจัดอันดับเป็นที่ 1 ของโลกในหมวดอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์อาหารจากดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์ในปี 2561 นอกจากนี้ บริษัทยังได้รับคัดเลือกให้ติดอันดับในดัชนี FTSE4Good หมวดตลาดเกิดใหม่ ซึ่งจัดอันดับโดยฟุตซี รัสเซล นับเป็นดัชนีความยั่งยืนจากสองสถาบันที่ผู้บริโภคให้ความสำคัญมากที่สุดในโลก

บรรยายภาพ: ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป เปิดโรงงาน ไทยยูเนี่ยน มารีน นูเทรียนส์ โรงกลั่นน้ำมันปลาด้วยเทคโนโลยีขั้นสูง ณ เมืองรอสต็อค ประเทศเยอรมัน จากขวาไปซ้าย: นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป, ดร.ทิลล์ แบ็คเฮาส์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสิ่งแวดล้อม, นายลีโอนาร์ดัซ คูเลน กรรมการผู้จัดการ ธุรกิจ Marine Ingredients, นายเชง นิรุตตินานนท์ ประธานคณะกรรมการบริหาร และนายฟิลิปป์ ชโรเดอร์ ผู้จัดการโรงงาน ไทยยูเนี่ยน Marine Nutrients GmbH

# # #

เกี่ยวกับ บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)

บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เป็นผู้นำธุรกิจอาหารทะเลของโลก ซึ่ง ส่งมอบผลิตภัณฑ์อาหารทะเลที่มีนวัตกรรม รสชาติดี มีประโยชน์ต่อสุขภาพ และมีคุณภาพสูงให้กับผู้บริโภคทั่วโลกมาเป็นเวลามากกว่า 40 ปี

วันนี้ บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป ได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้ผลิตผลิตภัณฑ์ปลาทูน่าบรรจุภาชนะชนิดต่างๆ ที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยมียอดขายต่อปีมากกว่า 135 แสนล้านบาท (4.03 พันล้านเหรียญสหรัฐ) และมีพนักงานทั่วโลกรวมกันมากกว่า 49,000 คน ซึ่งล้วนทุ่มเทเพื่อผลิตภัณฑ์อาหารทะเลที่มีนวัตกรรมและมีความยั่งยืน

ไทยยูเนี่ยนเป็นเจ้าของแบรนด์ทั่วโลก ประกอบด้วย แบรนด์ที่เป็นผู้นำตลาดโลกอย่าง Chicken of the Sea, John West, Petit Navire, Parmentier, Mareblu, King Oscar และ Rügen Fisch รวมทั้งแบรนด์ชั้นนำในประเทศไทย ได้แก่ ซีเล็ค ฟิชโช คิวเฟรช โมโนริ เบลลอตต้า และมาร์โว่

จากพันธกิจในการเป็นบริษัทแห่งนวัตกรรมและดำเนินงานด้วยความรับผิดชอบทั่วโลก ไทยยูเนี่ยนภูมิใจที่ได้เป็นหนึ่งในภาคีข้อตกลงโลกแห่งสหประชาชาติ (United Nations Global Compact) และเป็นผู้ร่วมก่อตั้งมูลนิธิเพื่อความยั่งยืน

ของอาหารทะเลสากล (International Seafood Sustainability Foundation: ISSF) ในปี 2558 ไทยยูเนี่ยนเปิดตัวกลยุทธ์ด้านความยั่งยืน SeaChange® และดำเนินการในเรื่องดังกล่าวอย่างต่อเนื่องเรื่อยมาโดยตลอด จนส่งผลให้ไทยยูเนียนได้รับการคัดเลือกให้เป็นสมาชิกของดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์ (Dow Jones Sustainability Indices หรือ DJSI) สำหรับตลาดเกิดใหม่มาตั้งแต่ปี 2557 และในปี 2561 ไทยยูเนี่ยนได้รับเลือกให้เป็นสมาชิกของ DJSI เป็นปีที่ห้าติดต่อกัน โดยอยู่ในอันดับที่หนึ่งของหมวดอุตสาหกรรมอาหาร นอกจากนี้ไทยยูเนี่ยนยังได้รับการคัดเลือกให้ติดอันดับดัชนี FTSE4Good Emerging Index และเป็นผู้ชนะในหลากหลายรางวัลสำหรับการทำงานเป็นผู้นำด้านความยั่งยืน

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โปรดติดต่อ
วิริยาภรณ์ โปษยานนท์
ฝ่ายสื่อสารองค์กร
T: +66.2298.0024 Ext. 4423
M: +66.81.922.5135
E: Wiriyaporn.Posayanonda@thaiunion.com