ไทยยูเนี่ยน ฟีดมิลล์ บริษัทในเครือของทียูเอฟสยายปีกร่วมทุนกับมิตซูบิชิ คอร์ปอเรชั่น ในธุรกิจฟาร์มเพาะเลี้ยงกุ้ง

บริษัท ไทยยูเนี่ยน ฟีดมิลล์ จำกัด ผู้ผลิตอาหารกุ้งรายใหญ่อันดับสองของไทย ในเครือบริษัท ไทยยูเนี่ยน โฟรเซ่น โปรดักส์ จำกัด (มหาชน) หรือทียูเอฟ ผู้ผลิตอาหารทะเลชั้นแนวหน้าของโลก เดินหน้าธุรกิจเพาะเลี้ยงกุ้ง โดยประกาศร่วมทุนกับบริษัทมิตซูบิชิ คอร์ปอเรชั่น ซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทชั้นนำของประเทศญี่ปุ่น

นายฤทธิรงค์ บุญมีโชติ กรรมการผู้จัดการ กลุ่มผลิตภัณฑ์กุ้ง ของทียูเอฟ และดำรงตำแหน่งประธานกรรมการบริหารบริษัท ไทยยูเนี่ยน ฟีดมิลล์ จำกัด หรือทีเอฟเอ็ม ได้ทำสัญญาร่วมทุนกับบริษัทมิตซูบิชิ คอร์ปอเรชั่น หรือเอ็มซี เพื่อดำเนินธุรกิจฟาร์มเพาะเลี้ยงกุ้งในประเทศไทย โดยทีเอฟเอ็มจะถือครองหุ้นร้อยละ 51 ในขณะที่มิตซูบิชิ คอร์ปอเรชั่นถือครองหุ้นร้อยละ 49 ซึ่ง "การร่วมทุนในครั้งนี้จะช่วยเสริมศักยภาพในการจัดหาวัตถุดิบกุ้งคุณภาพดีจากแหล่งวัตถุดิบที่ปลอดภัยเชื่อถือได้ อีกทั้งยังเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าว่าได้รับสินค้าที่มีคุณภาพดีและสามารถตรวจสอบย้อนกลับถึงแหล่งที่มาได้ ซึ่งสอดคล้องกับจุดมุ่งหมายการดำเนินธุรกิจของบริษัทซึ่งเน้นด้านความยั่งยืน (Sustainability)  นอกจากนี้ ยังจะเป็นการต่อยอดพัฒนาธุรกิจอาหารกุ้ง และสายพันธุ์กุ้งของกลุ่มบริษัทในเครือทียูเอฟ   

การร่วมทุนเบื้องต้นมีมูลค่า 560 ล้านบาท และจะเพิ่มเป็น 900 ล้านบาทในอนาคต โดยจะใช้เงินลงทุนซื้อฟาร์มกุ้ง และสร้างฟาร์มเพาะเลี้ยงใหม่ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมบริเวณชายฝั่งของไทย ในช่วงแรกบริษัทใหม่จะเข้าซื้อกิจการฟาร์มเพาะเลี้ยงกุ้งที่จังหวัดสตูลและจังหวัดตรัง ที่ทีเอฟเอ็มถือครองในปัจจุบัน โดยตั้งเป้าว่าภายใน 5 ปี  จะสามารถผลิตกุ้งได้มากถึง 10,000 เมตริกตันต่อปี นอกจากนี้ บริษัทจะเข้าลงทุนในบริษัท ไทยยูเนี่ยน แฮชเชอรี่ จำกัด หรือทียูเอช ซึ่งเป็นผู้ผลิตลูกกุ้งและพัฒนาสายพันธุ์กุ้งและจากการเติบโตทางเศรษฐกิจและจำนวนประชากรในประเทศเกิดใหม่ที่เพิ่มขึ้น รวมถึงตลาดอื่นๆ ที่มีอยู่จะมีความต้องการอาหารทะเลที่เพิ่มขึ้นอย่างเนื่องจนมากกว่าปริมาณที่มีอยู่ในตลาด  บริษัทจึงมีความสนใจลงทุนเพิ่มด้านการจัดหาวัตถุดิบ อย่างไรก็ตาม ปริมาณความต้องการที่เพิ่มขึ้นนั้นสอดคล้องกับความต้องการที่เข้มงวดยิ่งขึ้น เช่น ผู้บริโภคต้องการด้านความปลอดภัยและมั่นคงทางอาหารของผลิตภัณฑ์กุ้งที่เพิ่มสูงขึ้น ดังนั้น ผู้ผลิตกุ้งที่สามารถรับประกันคุณภาพผลิตภัณฑ์และสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ทุกขั้นตอนเท่านั้น จึงจะได้รับประโยชน์เต็มที่จากการเติบโตของตลาด

นายฤทธิรงค์ ยังกล่าวเสริมอีกว่า การลงทุนครั้งนี้ จะทำให้บริษัท มีการบูรณาการธุรกิจกุ้งอย่างครบวงจร เริ่มตั้งแต่การเพาะพันธุ์ลูกกุ้ง การทำฟาร์มกุ้ง อาหารกุ้ง การแปรรูป รวมทั้งการจัดจำหน่ายทั้งในประเทศและต่างประเทศ ครอบคลุมการจัดการตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ ซึ่งเป้าหมายหลักคือ การบริหารจัดการและพึ่งพาตนเองในการจัดหาวัตถุดิบกุ้งที่เชื่อถือได้และปลอดภัยได้มาตรฐานสากลตอบสนองความต้องการของลูกค้าของบริษัททั่วโลก รวมทั้งเพื่อรองรับความต้องการการบริโภคกุ้งที่สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ซึ่งเพิ่มสูงขึ้น ดังนั้น จึงเชื่อมั่นว่าการร่วมทุนครั้งนี้จะเป็นการเสริมสร้างความแข็งแกร่งของกลยุทธ์ธุรกิจกุ้งระยะยาวของกลุ่มบริษัทให้เติบโตอย่างยั่งยืน