ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป ทำยอดขายไตรมาส 3 ได้สูงถึง 35,185 ล้านบาท ท่ามกลางภาวะตลาดที่กดดัน

บรรยายใต้ภาพ: แบรนด์สินค้าทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ ภายใต้ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป

  • กำไรสุทธิไตรมาส 3 ของปี 2560 เท่ากับ 1,737 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.9 เปอร์เซ็นต์ จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน
  • ยอดขายไตรมาส 3 ของปี 2560 เท่ากับ 35,185 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.4 เปอร์เซ็นต์ จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน
  • เรด ล็อบสเตอร์ (Red Lobster) และมาตรการลดต้นทุน มีส่วนสำคัญในการเติบโตของผลกำไรสุทธิ


6 พฤศจิกายน 2560, กรุงเทพ -
บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) รายงานผลการดำเนินงานไตรมาสที่ 3 ประจำปี 2560 ยอดขายรวมเพิ่มขึ้น 0.4 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบจากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา และทำสถิติที่ 35,185 ล้านบาท ถึงแม้อัตราแลกเปลี่ยนมีความผันผวนและราคาวัตถุดิบเพิ่มสูงขึ้น ในส่วนของผลกำไรนั้น บริษัทมีกำไรสุทธิเท่ากับ 1,737 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.9 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบจากระยะเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา

กำไรขั้นต้นในไตรมาสที่ 3 ลดลง 5.6 เปอร์เซ็นต์ จากปีที่ผ่านมาเท่ากับ 4,658 ล้านบาท ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้น เท่ากับ 13.2 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเปรียบเทียบกับอัตรากำไรขั้นต้นในไตรมาส 3 ปี 2559 ที่ 14.1 เปอร์เซ็นต์

ราคาวัตถุดิบที่สูงขึ้นอย่างมาก โดยเฉพาะราคาปลาทูน่าที่พุ่งใกล้จุดสูงสุด รวมถึงค่าเงินยุโรปที่อ่อนตัวและเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น เป็นสาเหตุของอัตรากำไรที่ลดลง

ในไตรมาส 3 ธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงและผลิตภัณฑ์เพิ่มมูลค่า มียอดขายเติบโตสูงสุด 2.9 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน เป็น 4,580 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลมาจากการเติบโตของธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง และยอดขายธุรกิจอาหารทะเลแปรรูป (ambient) เพิ่มขึ้น 2.4 เปอร์เซ็นต์ มาเป็น 15,836 ล้านบาทจากปีที่แล้ว เนื่องจากราคาปลาทูน่าสูงขึ้น ในขณะที่ยอดขายธุรกิจอาหารทะเลแช่แข็งและแช่เย็นของบริษัท ลดลง 2.4 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบจากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา เป็น 14,770 ล้านบาท แปรรูปในทวีปยุโรปซบเซาและค่าเงินสกุลหลักอ่อนตัว รวมถึงราคาปลาทูน่าที่ยังสูงขึ้น

ในช่วงเก้าเดือนแรกของปีนี้ ผลกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 6.1 เปอร์เซ็นต์ จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนเป็น 4,617 ล้านบาท ในขณะที่ยอดขายทั้งหมด เพิ่มขึ้นแค่ 0.8 เปอร์เซ็นต์ จากปีที่แล้ว เป็น 101,430 ล้านบาท  

ยอดขายจากสินค้าแบรนด์ของไทยยูเนี่ยน ในช่วงเก้าเดือนแรกของปี ยังคงอัตราส่วนคงเดิมที่ 43เปอร์เซ็นต์ ที่เหลือมาจากธุรกิจการรับจ้างผลิตและธุรกิจบริการทางด้านอาหาร สหรัฐฯยังคงเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุด โดยมียอดขาย 38  เปอร์เซ็นต์จากยอดรวมทั้งหมดในช่วงเก้าเดือนแรกของปี ตามด้วยตลาดยุโรป 32 เปอร์เซ็นต์ ส่วนตลาดในประเทศมียอดขายอยู่ที่ 10  เปอร์เซ็นต์ ญี่ปุ่น 6เปอร์เซ็นต์ และตลาดอื่นๆ อีก 14 เปอร์เซ็นต์

ถึงแม้จะเป็นฤดูกาลที่วุ่นวายบ้าง ธุรกิจของเรด ล็อบสเตอร์ ในสหรัฐฯยังคงแข็งแกร่ง สามารถทำกำไรสุทธิได้ 380 ล้านบาทในไตรมาสที่ 3 โดยกำไรส่วนใหญ่ได้มาจากมาตราการการประหยัดภาษี และอัตราดอกเบี้ย

อัตราส่วนหนี้สินต่อทุนสุทธิ ยังคงรักษาระดับอยู่ที่ 1.37 เท่า ตั้งแต่ต้นปีจนถึงไตรมาส 3 ถึงแม้จะมีความกดดันจากราคาวัตถุดิบและเงินทุนในการดำเนินงานที่สูงขึ้น ส่วนค่าใช้จ่ายในด้านการขายและการบริหารจัดการเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเป็น 9.1% ในไตรมาสที่ 3 (ไม่รวมค่าใช้จ่ายในการปรับโครงสร้างองค์กรซึ่งเป็นการใช้จ่ายแบบครั้งเดียว มีผลทำให้อัตราอยู่ที่ 9.5%)

“กลยุทธ์ในเรื่องของการกระจายการลงทุนและสินค้าให้ครอบคลุมหลายภูมิภาค ช่วยให้เราสามารถรับมือกับสภาวะความผันผวนของตลาดและของอุตสาหกรรมได้เป็นอย่างดี ดังนั้นเราจึงจะเน้นย้ำถึงการกระจายธุรกิจและความเสี่ยง เพื่อให้เกิดการเจริญเติบโตอย่างยั่งยืน” นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป กล่าว

เขากล่าวเสริมว่า “การพัฒนาองค์กร การจัดการเรื่องค่าใช้จ่ายและการปรับปรุงการดำเนินงานที่เราทำมาอย่างต่อเนื่อง มีส่วนช่วยให้เราอยู่รอดได้ในสภาวการณ์ที่มีความกดดันในเรื่องผลกำไรอย่างที่เป็นอยู่ในเวลานี้”

เมื่อไม่นานมานี้ ไทยยูเนี่ยนได้รับการยกย่องและเป็นที่จดจำอย่างมากจากความเพียรพยายามในด้านการพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยเป็นหนึ่งในบริษัทที่ได้เข้ารอบสุดท้ายในการเสนอชื่อเข้ารับรางวัลผู้นำด้านความยั่งยืนแห่งปี  และรางวัลรายงานเพื่อความยั่งยืนแห่งปีในการมอบรางวัล ในการมอบรางวัล The Ethical Corporation’s Annual Responsible Business Awards ครั้งที่ 8

ถ้อยแถลงของทาง Ethical Corporation ได้กล่าวถึง ดร. แดเรี่ยน แมคเบน ผู้อำนวยการกลุ่มด้านการพัฒนาที่ยั่งยืน ที่ได้รับเลือกให้เข้ารอบการตัดสินรางวัลผู้นำด้านความยั่งยืนแห่งปีไว้ว่า “เป็นผู้นำที่กล้าที่จะคว้าโอกาสในการสร้างความสัมพันธ์ ถึงแม้ว่าจะต้องมีการประนีประนอมบ้าง”  และยังมีบทบาทสำคัญในบริษัทในฐานะผู้นำที่ “มีความคิดสร้างสรรค์อันหลากหลาย และมีส่วนช่วยส่งเสริมความรู้ความเข้าใจในเรื่องการพัฒนาอย่างยั่งยืนทั้งในวงกว้างและเชิงลึก ควบคู่ไปกับมิติทั้งทางด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม” 

นอกจากนี้ ไทยยูเนี่ยน ยังได้รับการยกย่องอย่างสูง สำหรับรายงานเพื่อความยั่งยืนประจำปี 2559 ล่าสุดของบริษัท คณะกรรมการตัดสินรางวัล มีความเห็นว่า “โดยรวมบริษัทมีความก้าวหน้าในการใช้นโยบายด้านความยั่งยืนที่เรียกว่า SeaChange® และอธิบายถึงนโยบายและการปฏิบัติงานอย่างลึกซึ้งในรายงาน” 

ซึ่งรายงาน ได้ระบุรายละเอียดในการที่บริษัทให้ความสำคัญกับเรื่องความยั่งยืนของธุรกิจ ซึ่งช่วยขับเคลื่อนและเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมอาหารทะเลของโลก และยังพูดถึงความก้าวหน้าในเรื่องความยั่งยืนของไทยยูเนี่ยน ในทุกแง่มุมของการทำธุรกิจ ตั้งแต่การที่บริษัทมีความตั้งใจที่จะดูแลมหาสมุทร จนถึงการดูแลขยะ และความรับผิดชอบต่อพนักงานของไทยยูเนี่ยน รวมถึงการสร้างอนาคตที่ดีให้กับชุมชนที่บริษัทเป็นส่วนหนึ่ง

รายงานเพื่อความยั่งยืน สามารถดาวน์โหลดได้จากเวปไซต์ของบริษัท: http://www.thaiunion.com/en/sustainability/report

บริษัทไทยยูเนี่ยนยังได้รับรางวัลการพัฒนาอย่างยั่งยืนและบริษัทที่มีความเป็นเลิศแห่งเอเชีย (Asia Corporate Excellence & Sustainability Awards: ACES) ในฐานะเป็นองค์กรที่ส่งเสริมด้านความรับผิดชอบต่อสังคมหลากหลายรูปแบบ

เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา ไทยยูเนี่ยนก็ได้รับเลือกให้ติดดัชนี Dow Jones Sustainability Index (DJSI) Emerging Markets เป็นปีที่ 4 ติดต่อกัน 

SeaChange® กลยุทธ์ด้านความยั่งยืนของไทยยูเนี่ยนประสบความสำเร็จในการทำคะแนนให้ขึ้นไปอยู่ในลำดับเปอร์เซ็นไทล์ที่ 100 โดยเฉพาะในด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ สุขภาพและโภชนาการ ความเสี่ยงที่เกี่ยวกับน้ำ และการกำหนดนโยบาย นอกจากนี้ ความพยายามในการดำเนินงานอย่างจริงจังด้านการบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทาน จรรยาบรรณธุรกิจ และแนวปฎิบัติด้านแรงงาน ได้ส่งผลให้ระดับคะแนนของไทยยูเนี่ยนอยู่ในลำดับเปอร์เซ็นไทล์ที่ 97 ในกลุ่มอุตสาหกรรม

ดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์ ในหมวดตลาดเกิดใหม่ เป็นดัชนีหมวดย่อยที่ได้รับการยอมรับในระดับสูง ซึ่งเป็นการประเมินบริษัทต่างๆ ในตลาดเกิดใหม่ในผลการดำเนินงานด้านความยั่งยืน ในแต่ละปี มีบริษัทมากกว่า 3,000 แห่งที่ได้รับเชิญให้เข้าร่วมการประเมินด้านความยั่งยืนของธุรกิจ

“พนักงานทุกคนของไทยยูเนี่ยนทำงานหนัก ด้วยความมุ่งมั่นเอาใจใส่และเต็มใจที่จะเป็นผู้ที่จะนำความเปลี่ยนแปลงให้ไปในทางที่ดี และพยายามอย่างยิ่งที่จะให้ธุรกิจมีความเข้มแข็งและเติบโตอย่างยั่งยืน” นายธีรพงศ์ กล่าว

###

เกี่ยวกับ บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)

บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เป็นผู้นำธุรกิจอาหารทะเลของโลก ซึ่ง ส่งมอบผลิตภัณฑ์อาหารทะเลที่มีนวัตกรรม รสชาติดี มีประโยชน์ต่อสุขภาพ และมีคุณภาพสูงให้กับผู้บริโภคทั่วโลกมาเป็นเวลาเกือบ 40 ปี

วันนี้ บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป ได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้ผลิตผลิตภัณฑ์ปลาทูน่าบรรจุภาชนะชนิดต่าง ๆ ที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยมียอดขายต่อปีมากกว่า 125 พันล้านบาท (3.7 พันล้านเหรียญสหรัฐ) และมีพนักงานทั่วโลกรวมกันมากกว่า 46,000 คน ซึ่งล้วนทุ่มเทเพื่อผลิตภัณฑ์อาหารทะเลที่มีนวัตกรรมและมีความยั่งยืน

ไทยยูเนี่ยนเป็นเจ้าของแบรนด์ทั่วโลก ประกอบด้วย แบรนด์ที่เป็นผู้นำตลาดโลกอย่าง Chicken of the Sea, John West, Petit Navire, Parmentier, Mareblu, King Oscar และ Rügen Fisch รวมทั้งแบรนด์ชั้นนำในประเทศไทย ได้แก่ ซีเล็ค ฟิชโช เบลลอตต้า และมาร์โว่

จากพันธกิจในการเป็นบริษัทแห่งนวัตกรรมและดำเนินงานด้วยความรับผิดชอบทั่วโลก ไทยยูเนี่ยนภูมิใจที่ได้เป็นหนึ่งในภาคีข้อตกลงโลกแห่งสหประชาชาติ (United Nations Global Compact) และเป็นผู้ร่วมก่อตั้งมูลนิธิเพื่อความยั่งยืนของอาหารทะเลสากล (International Seafood Sustainability Foundation: ISSF) ในปี 2558 ไทยยูเนี่ยนเปิดตัวกลยุทธ์ด้านความยั่งยืน SeaChange® และดำเนินการในเรื่องดังกล่าวอย่าง

ต่อเนื่องเรื่องมาโดยตลอดในเรื่องดังกล่าว จนส่งผลโดยรวมให้ไทยยูเนียนได้รับการคัดเลือกให้เป็นสมาชิกของดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์ (Dow Jones Sustainability Indices หรือ DJSI) สำหรับตลาดเกิดใหม่มาตั้งแต่ปี 2557 และในปี 2560 ไทยยูเนี่ยนได้รับเลือกให้เป็นสมาชิกของ DJSI เป็นปีที่สี่ติดต่อกัน  นอกจากนี้ไทยยูเนี่ยนได้รับการคัดเลือกให้ติดอันดับดัชนี  FTSE4Good Emerging Index เมื่อเร็วๆ นี้อีกด้วย

ติดต่อสอบถาม

คุณกฤษณา ปานสุนทร
Head of External Affairs
M: +66.61.418.1461
E: Krissana.Parnsoonthorn@thaiunion.com