ทียูไตรมาสสามยังแข็งแกร่งจากแรงเชื่อมั่นของผู้บริโภค

  • ยอดขาย 34,784 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.3%
  • กำไรสุทธิทะลุ 2,056 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 49.7%
  • กำไรขั้นต้น 6,327 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 24.6%

4 พฤศจิกายน 2563, กรุงเทพมหานคร – ผู้บริโภคทั่วโลกยังคงเชื่อมั่นในคุณภาพของผลิตภัณฑ์จากไทยยูเนี่ยนที่ใส่ใจในเรื่องสุขภาพและคุณค่าทางโภชนาการ ส่งผลให้ผลการดำเนินงานในไตรมาสที่ 3 ของบริษัทยังคงดีต่อเนื่อง จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ส่งผลให้ผู้บริโภคปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เกิดเทรนด์การรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพมากขึ้น และทำอาหารทานที่บ้าน มีการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์และอาหารที่เก็บได้ยาวนาน รวมไปถึงอาหารสัตว์เลี้ยง เนื่องจากผู้คนทั่วโลกใช้เวลาอยู่กับบ้านและครอบครัวมากขึ้น นอกจากนี้ยังหันมาสนใจสัตว์เลี้ยงในบ้าน เช่น สุนัขและแมว

ยอดขายประจำไตรมาสที่ 3 ปี 2563 อยู่ที่ 34,784 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.3% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า โดยกำไรสุทธิพุ่งสูงทะลุระดับ 2 พันล้านอยู่ที่ 2,056 ล้านบาท สูงขึ้นกว่าปีก่อนหน้าถึง 49.7% โดยยอดขายที่เพิ่มขึ้นนี้แบ่งเป็น ธุรกิจอาหารทะเลแปรรูปบรรจุกระป๋องมียอดขาย 16,259 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12.4% ธุรกิจอาหารแช่แข็งและธุรกิจที่เกี่ยวข้องมียอดขายเพิ่มขึ้น 4.7% อยู่ที่ 13,370 ล้านบาท และธุรกิจผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงและผลิตภัณฑ์เพิ่มมูลค่ามียอดขายเพิ่มขึ้น 12% อยู่ที่ 5,155 ล้านบาท

“ผลประกอบการของไทยยูเนี่ยนในไตรมาสที่ผ่านมาเป็นผลจากกลยุทธ์ทางธุรกิจในการพัฒนาการดำเนินงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ประกอบกับความต้องการของผู้บริโภคที่ปรับเปลี่ยนไปตามสถานการณ์การแพร่ระบาดในปัจจุบัน” นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าว “ในช่วงระยะหลายปีที่ผ่านมา บริษัทได้ลงทุนทั้งในธุรกิจหลักและธุรกิจที่มีอัตราการทำกำไรสูง อาทิ ธุรกิจส่วนประกอบอาหาร หรือ ingredients และเทคโนโลยีนวัตกรรมอาหาร สำหรับสถานการณ์โควิด-19 นั้น ยังเป็นสิ่งที่ทุกธุรกิจต้องเผชิญ โดยไทยยูเนี่ยนเองได้มีมาตรการต่างๆ และทำงานอย่างหนักเพื่อที่จะผลิตสินค้าได้อย่างต่อเนื่องเพื่อสนองความต้องการของลูกค้าของเราทั่วโลก ไทยยูเนี่ยนรู้สึกยินดีที่ผู้บริโภคยังคงเชื่อมั่นและให้การตอบรับแบรนด์ต่างๆ ของเราที่มีอยู่ทั่วโลกอย่างต่อเนื่อง”

และในฐานะผู้นำในอุตสาหกรรมอาหาร ไทยยูเนี่ยนลงทุนในนวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดในไตรมาสที่ 3 ของปี ได้จับมือกับฟู้ดเทคสตาร์ทอัพ 4 บริษัท โดย 3 บริษัทนั้นมาจากโครงการ สเปซ-เอฟ ที่ไทยยูเนี่ยนได้ร่วมก่อตั้งขึ้นในปี 2562

นายธีรพงศ์ กล่าวต่อไปว่า “วิสัยทัศน์ของไทยยูเนี่ยนคือร่วมสร้างระบบนิเวศน์สตาร์ทอัพเทคโนโลยีและนวัตกรรมอาหาร ไทยยูเนี่ยนเองได้มีการเริ่มทำตลาดผลิตภัณฑ์อาหารทะเลที่ผลิตจากโปรตีนจากพืชในประเทศไทย เนื่องจากผู้บริโภคมีความต้องการโปรตีนที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและยั่งยืนมากขึ้น”

บริษัทสตาร์ทอัพที่ไทยยูเนี่ยนได้ร่วมลงทุนได้แก่ มันนา ฟู้ดส์ ที่พัฒนาโปรตีนทางเลือก ส่วน อัลเคมี ฟู้ดเทค นั้นมุ่งเน้นในด้านอาหารสำหรับผู้ป่วย และ ไฮโดรนีโอ เป็นบริษัทที่นำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการบริหารจัดการฟาร์มเลี้ยงสัตว์น้ำ ส่วนบริษัท วิสไวร์ส นิวโปรตีน เป็นผู้นำในการลงทุนในโปรตีนทางเลือก

ถึงแม้ว่าตลาดโปรตีนทางเลือกในประเทศไทยยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น แต่สำหรับตลาดสินค้าประเภทดังกล่าวในระดับโลกนั้นถือว่ามีแนวโน้มการเติบโตที่สูงทีเดียว โดยปัจจุบันตลาดโปรตีนทางเลือกของโลกนั้นมีขนาดถึง 12,800 ล้านเหรียญสหรัฐ และยังมีแนวโน้มว่าจะเติบโตในช่วงระหว่าง ปี 2562-2568 ถึง 6.8% เฉลี่ยต่อปี

ด้วยวิสัยทัศน์และนวัตกรรมของไทยยูเนี่ยนที่มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ทำให้บริษัทได้รับการยอมรับในระดับสากล ไม่ว่าจะเป็นการที่ประธานเจ้าหน้าที่บริหารได้รับการจัดอันดับโดยนิตยสาร Intrafish ในฐานะผู้ทรงอิทธิพลอันดับ 1 ในอุตสาหกรรมอาหารทะเลโลก ได้รับรางว้ล SDG Impact Award จากเวที Responsible Business Award 2020 ด้วยโครงการต่างๆ ที่ริเริ่มเพื่อขับเคลื่อนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ขององค์การสหประชาชาติ (UN SDGs) และล่าสุดไทยยูเนี่ยนยังได้รับการคัดเลือกให้ติดอันดับดัชนี FTSE4Good Emerging Index เป็นปีที่ 5 ติดต่อกัน

“เรายังคงดำเนินธุรกิจโดยรักษาระดับกระแสเงินสด พิจารณาโอกาสต่างๆ ที่เข้ามา และบริหารจัดการสายการผลิตของเราโดยเน้นย้ำเรื่องสุขภาพและความปลอดภัยเป็นสำคัญ เพื่อที่จะสามารถผลิตสินค้าคุณภาพให้กับผู้บริโภคทั่วโลกได้อย่างต่อเนื่อง” นายธีรพงศ์ กล่าวทิ้งท้าย

เกี่ยวกับ บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)

บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เป็นผู้นำธุรกิจอาหารทะเลของโลก ซึ่ง ส่งมอบผลิตภัณฑ์อาหารทะเลที่มีนวัตกรรม รสชาติดี มีประโยชน์ต่อสุขภาพ และมีคุณภาพสูงให้กับผู้บริโภคทั่วโลกมาเป็นเวลากว่า 40 ปี

วันนี้ บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป ได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้นำธุรกิจอาหารทะเลระดับโลก โดยเป็นหนึ่งในผู้ผลิตปลาทูน่าในบรรจุภัณฑ์ชนิดต่างๆ ที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยมียอดขายต่อปีมากกว่า 126,275 ล้านบาท (4.1 พันล้านเหรียญสหรัฐ) และมีพนักงานทั่วโลกรวมกันมากกว่า 44,000 คน ซึ่งล้วนทุ่มเทเพื่อผลิตภัณฑ์อาหารทะเลที่มีนวัตกรรมและมีความยั่งยืน

ไทยยูเนี่ยนเป็นเจ้าของแบรนด์ทั่วโลก ประกอบด้วย แบรนด์ที่เป็นผู้นำตลาดโลกอย่าง Chicken of the Sea, John West, Petit Navire, Parmentier, Mareblu, King Oscar และ Rügen Fisch รวมทั้งแบรนด์ชั้นนำในประเทศไทย ได้แก่ ซีเล็ค ฟิชโช คิวเฟรช โมโนริ เบลลอตต้า และมาร์โว่

จากพันธกิจในการเป็นบริษัทแห่งนวัตกรรมและดำเนินงานด้วยความรับผิดชอบทั่วโลก ไทยยูเนี่ยนภูมิใจที่ได้เป็นหนึ่งในภาคีข้อตกลงโลกแห่งสหประชาชาติ (United Nations Global Compact) และเป็นผู้ร่วมก่อตั้งมูลนิธิเพื่อความยั่งยืนของอาหารทะเลสากล (International Seafood Sustainability Foundation: ISSF) ในปี 2558 ไทยยูเนี่ยนเปิดตัวกลยุทธ์ด้านความยั่งยืน SeaChange® และดำเนินการในเรื่องดังกล่าวอย่างต่อเนื่องเรื่อยมาโดยตลอด จนส่งผลให้ไทยยูเนียนได้รับการคัดเลือกให้เป็นสมาชิกของดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์ (Dow Jones Sustainability Indices หรือ DJSI) สำหรับตลาดเกิดใหม่มาตั้งแต่ปี 2557 และในปี 2562 ไทยยูเนี่ยนได้รับเลือกให้เป็นสมาชิกของ DJSI เป็นปีที่หกติดต่อกัน โดยได้รับเลือกเป็นบริษัทอันดับ 1 ของกลุ่มอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์อาหารเป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน นอกจากนี้ไทยยูเนี่ยนยังได้รับการคัดเลือกให้ติดอันดับดัชนี FTSE4Good Emerging Index เป็นปีที่ 5 ติดต่อกัน และได้รับอีกหลากหลายรางวัลสำหรับการเป็นผู้นำในการทำงานด้านความยั่งยืน