ไทยยูเนี่ยนจับมือคอร์เบียน ต่อยอดสาหร่ายดีเอชเอสูงเพื่อใช้ในการผลิตอาหารกุ้ง

ความสำเร็จในการนำสาหร่าย อัลจาไพรม์ ดีเอชเอ มาใช้ในการผลิตอาหารกุ้งในครั้งนี้จะต่อยอดให้ไทยยูเนี่ยนสามารถจัดหากุ้งได้อย่างมีความรับผิดชอบและยั่งยืนให้กับผู้บริโภคทั่วโลกได้

12 ตุลาคม 2563 กรุงเทพมหานคร – บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ผู้นำธุรกิจอาหารทะเลระดับโลก และคอร์เบียน ผู้นำส่วนผสมในอาหารสัตว์ที่ผลิตจากสาหร่ายในตลาดโลก ประกาศความร่วมมือในการต่อยอดพัฒนาอาหารกุ้งของไทยยูเนี่ยนด้วย สาหร่าย อัลจาไพรม์ ดีเอชเอ ที่อุดมไปด้วยโอเมก้า 3 ภายหลังมีการทดลองผลิตในปริมาณมากในปีที่ผ่านมา ความร่วมมือระหว่างทั้งสองบริษัทนับเป็นก้าวสำคัญในวงการเกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้งและบริษัทผู้ผลิตอาหารทะเลในการนำอาหารกุ้งที่มีความยั่งยืนมาใช้ในปริมาณที่มากขึ้น 

กุ้งนับเป็นสัตว์น้ำที่โตอย่างรวดเร็วในอุตสาหกรรมการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ  โดยเฉพาะกุ้งเลี้ยง ซึ่งนับเป็นสัดส่วนถึง 55 เปอร์เซ็นต์ของการผลิตกุ้งในโลก จึงถือเป็นโอกาสอันดีที่จะพัฒนาให้เกิดความยั่งยืนในภาคการเลี้ยงกุ้งให้เกิดขึ้น   ด้วยการต่อยอดการใช้สาหร่าย อัลจาไพรม์ ดีเอชเอ โดยบริษัท ไทยยูเนี่ยน ฟีดมิลล์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของไทยยูเนี่ยนนั้นสะท้อนให้เห็นว่าไทยยูเนี่ยนให้ความสำคัญในการใช้ส่วนประกอบอาหารสัตว์ที่มีการผลิตที่สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ มีความยั่งยืนและเชื่อถือได้   นอกจากนี้ สาหร่าย อัลจาไพรม์ ดีเอชเอ ยังเป็นสาหร่ายที่มีโอเมก้า 3 สูงกว่าปริมาณที่พบในน้ำมันปลาถึง 2 เท่า   สาหร่าย อัลจาไพรม์ ดีเอชเอ นี้จึงนับเป็นส่วนผสมอาหารสัตว์ที่สะอาดปลอดภัย ได้รับการผลิตอย่างยั่งยืน ด้วยกรรมวิธีการหมักด้วยน้ำตาลอ้อยที่ไม่มีการตัดต่อพันธุกรรม  การใช้สาหร่ายอัลจาไพรม์ ดีเอชเอ เข้ามาผลิตอาหารสัตว์ยังเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยลดการใช้อาหารทะเลในการผลิตและเป็นส่วนผสมอาหารกุ้งทีมีสารอาหารสูง ช่วยในการเติบโตของกุ้งที่เพาะเลี้ยง

ดร. แดเรียน แมคเบน ผู้อำนวยการกลุ่มส่งเสริมกิจการองค์กรและความยั่งยืน บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ที่ไทยยูเนี่ยน เราให้ความสำคัญกับนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืนในอุตสาหกรรมอาหารทะเล ดังนั้นเราจึงมองหาแหล่งวัตถุดิบใหม่ๆ และผลิตภัณฑ์ที่ทันสมัย และใช้เทคโนโลยีเพื่อความยั่งยืน ตามกลยุทธ์ SeaChange® ของเรา ความร่วมมือของไทยยูเนี่ยนกับคอร์เบียนได้ต่อยอดการจัดหาวัตถุดิบเพื่อผลิตอาหารสัตว์อย่างมีความรับผิดชอบ โดยการใช้ทรัพยากรทางทะเลอย่างรู้คุณค่า รวมไปถึงการเลือกใช้โปรตีนและน้ำมันทางเลือกในการผลิต ความร่วมมือกับคอร์เบียนนี้ ช่วยให้เราสามารถผลิตอาหารเลี้ยงกุ้งที่มีคุณค่าทางอาหารสูงสม่ำเสมอ มีห่วงโซ่อุปทานที่โปร่งใส ให้กับเกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้งในเครือข่ายของเรา”

นโยบายด้านความยั่งยืนของไทยยูเนียน ที่ดำเนินงานตามแนวทางกลยุทธ์ SeaChange® นั้นทำให้เกิดการพัฒนาขึ้นในอุตสาหกรรมอาหารทะเลทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของการจัดหาวัตถุกดิบอย่างมีความรับผิดชอบและสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ การนำสาหร่ายอัลจาไพรม์ ดีเอชเอ มาใช้ในการผลิตอาหารสัตว์ของไทยยูเนี่ยนนับเป็นหนึ่งในความพยายามที่จะจัดหากุ้งที่ยั่งยืนให้กับตลาด

คริส ฮากค์ ผู้บริหารด้านธุรกิจสัตว์น้ำทั่วโลก บริษัท คอร์เบียน กล่าวว่า “เรายินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมมือกับไทยยูเนี่ยนในการใช้สาหร่าย อัลจาไพรม์ ดีเอชเอ มาใช้ในการผลิตอาหารเลี้ยงกุ้ง ซึ่งบริษัทมุ่งมั่นที่จะพัฒนา สาหร่ายอัลจาไพรม์ ดีเอชเอ นี้เพื่อตอบรับการอุตสาหกรรมการเพาะเลี้ยงกุ้งอย่างยั่งยืนที่เติบโตอย่างรวดเร็ว”

นับตั้งแต่ปี 2559 คอร์เบียนได้เริ่มผลิตสาหร่าย อัลจาไพรม์ ดีเอชเอ ออกสู้ท้องตลาดเพื่อตอบสนองความต้องการในระดับอุตสาหกรรมการเพาะเลี้ยงสัตว์

เกี่ยวกับบริษัท คอร์เบียน

คอร์เบียน บริษัทผู้นำกรดแลคติกและผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องของโลก และยังเป็นผู้จัดหาสารอิมัลซิไฟเออร์หรือสารที่ช่วยในการคงตัวไม่แยกเป็นชั้น ส่วนประกอบในอาหาร อาทิ สารเอ็นไซม์ แร่ธาตุ วิตามิน และสาหร่าย โดยบริษัทมีความเชี่ยวชาญในกระบวนการหมัก รวมถึงกระบวนการอื่นๆ ที่ช่วยถนอมอาหาร ผลิตอาหาร การดูแลสุขภาพและโลก อย่างยั่งยืน กว่า 100 ปี ที่บริษัทได้มุ่งมั่นในเรื่องความปลอดภัย คุณภาพ นวัตกรรมและการดำเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพ โดยได้ให้ความสำคัญกับผลิตภัณฑ์และการใช้เทคโนโลยีอันทันสมัยเพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภค เทคโนโลยีของบริษัทช่วยให้ผลิตภัณฑ์ต่างๆ มีความแตกต่างในตลาด ซึ่งรวมถึงสินค้าอาหาร สินค้าอุปโภคบริโภค อาหารสัตว์ เวชภัณฑ์ และไบโอพลาสติก ในปี 2562 คอร์เบียนมียอดขาย 976.4 ล้านยูโร และมีพนักงาน 2,138 คน บริษัท คอร์เบียน จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ประเทศอัมสเตอร์ดัม ข้อมูลเพิ่มเติม โปรดติดต่อ www.corbion.com

เกี่ยวกับ บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)

บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เป็นผู้นำธุรกิจอาหารทะเลของโลก ซึ่ง ส่งมอบผลิตภัณฑ์อาหารทะเลที่มีนวัตกรรม รสชาติดี มีประโยชน์ต่อสุขภาพ และมีคุณภาพสูงให้กับผู้บริโภคทั่วโลกมาเป็นเวลากว่า 40 ปี

วันนี้ บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป ได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้นำธุรกิจอาหารทะเลระดับโลก โดยเป็นหนึ่งในผู้ผลิตปลาทูน่าในบรรจุภัณฑ์ชนิดต่างๆ ที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยมียอดขายต่อปีมากกว่า 126,275 ล้านบาท (4.1 พันล้านเหรียญสหรัฐ) และมีพนักงานทั่วโลกรวมกันมากกว่า 44,000 คน ซึ่งล้วนทุ่มเทเพื่อผลิตภัณฑ์อาหารทะเลที่มีนวัตกรรมและมีความยั่งยืน

ไทยยูเนี่ยนเป็นเจ้าของแบรนด์ทั่วโลก ประกอบด้วย แบรนด์ที่เป็นผู้นำตลาดโลกอย่าง Chicken of the Sea, John West, Petit Navire, Parmentier, Mareblu, King Oscar และ Rügen Fisch รวมทั้งแบรนด์ชั้นนำในประเทศไทย ได้แก่ ซีเล็ค ฟิชโช คิวเฟรช โมโนริ เบลลอตต้า และมาร์โว่

จากพันธกิจในการเป็นบริษัทแห่งนวัตกรรมและดำเนินงานด้วยความรับผิดชอบทั่วโลก ไทยยูเนี่ยนภูมิใจที่ได้เป็นหนึ่งในภาคีข้อตกลงโลกแห่งสหประชาชาติ (United Nations Global Compact) และเป็นผู้ร่วมก่อตั้งมูลนิธิเพื่อความยั่งยืนของอาหารทะเลสากล (International Seafood Sustainability Foundation: ISSF) ในปี 2558 ไทยยูเนี่ยนเปิดตัวกลยุทธ์ด้านความยั่งยืน SeaChange® และดำเนินการในเรื่องดังกล่าวอย่างต่อเนื่องเรื่อยมาโดยตลอด จนส่งผลให้ไทยยูเนียนได้รับการคัดเลือกให้เป็นสมาชิกของดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์ (Dow Jones Sustainability Indices หรือ DJSI) สำหรับตลาดเกิดใหม่มาตั้งแต่ปี 2557 และในปี 2562 ไทยยูเนี่ยนได้รับเลือกให้เป็นสมาชิกของ DJSI เป็นปีที่หกติดต่อกัน โดยได้รับเลือกเป็นบริษัทอันดับ 1 ของกลุ่มอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์อาหารเป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน นอกจากนี้ไทยยูเนี่ยนยังได้รับการคัดเลือกให้ติดอันดับดัชนี FTSE4Good Emerging Index เป็นปีที่ 4 ติดต่อกัน และได้รับอีกหลากหลายรางวัลสำหรับการเป็นผู้นำในการทำงานด้านความยั่งยืน