ทียูโชว์ไตรมาส 2 พลิกวิกฤตโควิด กำไรสุทธิโต 1,440% ทะลุ 1.7 พันล้าน ประกาศปันผล 0.32 บาท/หุ้น

11 สิงหาคม 2563, กรุงเทพมหานคร – บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) รายงานผลประกอบการประจำไตรมาสที่ 2 ปี 2563 มีกำไรสุทธิในไตรมาสที่ 2 อยู่ที่ 1,716 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,440 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับกำไรสุทธิที่รายงานต่อตลาดหลักทรัพย์ในปีก่อนหน้า ในไตรมาสที่ 2 นี้ บริษัทมียอดขายเพิ่มขึ้น 2.6 เปอร์เซ็นต์อยู่ที่ 33,051 ล้านบาท โดยหกเดือนแรกของปี 2563 มีการเติบโตของรายได้ 4.2 เปอร์เซ็นต์ สูงที่สุดในรอบ 3 ปี อยู่ที่ 64,154 ล้านบาท และบริษัทประกาศจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล 0.32 บาทต่อหุ้น เพิ่มขึ้นถึง 28 เปอร์เซ็นต์จากเงินปันผลระหว่างกาลปี 2562 ซึ่งอยู่ที่ 0.25 บาทต่อหุ้น

บริษัทยังคงมุ่งเน้นความสามารถในการทำกำไรและประสบความสำเร็จในการควบคุมต้นทุนอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ ผลกำไรจากการดำเนินงาน (operating profit) ในไตรมาสที่ 2 อยู่ที่ 2,366 ล้านบาท สูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยมีสัดส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่อยอดขาย (SG&A) อยู่ที่ 11.1 เปอร์เซ็นต์ มีสัดส่วนหนี้ต่อทุนอยู่ที่ 0.96 เท่า และมีอัตรากำไรขั้นต้น (gross profit margin) อยู่ที่ 18.2 เปอร์เซ็นต์ นับเป็นตัวเลขที่ดีที่สุดในรอบ 3 ปีอีกเช่นกัน ความสามารถในการทำกำไรจากการดำเนินงาน การบริหารสินค้าคงคลังและการบริหารกระแสเงินสดอย่างมีประสิทธิภาพยังทำให้ไตรมาสที่ 2 นี้มีกระแสเงินสดอิสระถึง 5,609 ล้านบาท

บรรยายภาพ: นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)

นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า

"อาหารนับเป็นปัจจัยที่มีความสำคัญโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ที่แพร่ระบาดไปทั่วโลก ทำให้ตลาดทั่วโลกมีความต้องการอาหารเพิ่มมากขึ้น ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อยอดขายของบริษัท ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เราได้ดำเนินการผลิตอย่างต่อเนื่องและเต็มกำลัง เพื่อสร้างความมั่นใจและทำหน้าที่อย่างดีที่สุดในการส่งมอบผลิตภัณฑ์อาหารที่ปลอดภัยให้กับผู้บริโภคทั่วโลกได้อย่างต่อเนื่อง สิ่งที่เราให้ความสำคัญมาโดยตลอด คือมาตรการสุขภาพความปลอดภัยทั้งของพนักงานและในการผลิต เพื่อให้ธุรกิจของเราก้าวไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน"

ยอดขายในไตรมาสนี้เติบโตขึ้นจากธุรกิจอาหารทะเลแปรรูปที่ยอดขายเพิ่มขึ้นถึง 16.8 เปอร์เซ็นต์ อยู่ที่ 16,394 ล้านบาท และปริมาณการขายที่เพิ่มขึ้น 29.6 เปอร์เซ็นต์ อยู่ที่ 101,136 ตัน เนื่องจากผู้บริโภคทั่วโลกยังคงจับจ่ายอาหารกระป๋องในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ในส่วนของธุรกิจอาหารแช่แข็งและธุรกิจที่เกี่ยวข้องมียอดขายลดลง 14 เปอร์เซ็นต์ อยู่ที่ 11,554 ล้านบาท และปริมาณการขายลดลง 10.5 เปอร์เซ็นต์ อยู่ที่ 61,284 ตัน เนื่องจากช่องทางการจำหน่ายในธุรกิจโรงแรมร้านอาหารต่างๆ ยังคงได้รับผลกระทบต่อเนื่อง

ในส่วนของธุรกิจผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงและผลิตภัณฑ์เพิ่มมูลค่ามียอดขายเพิ่มขึ้น 7.5 เปอร์เซ็นต์ อยู่ที่ 5,103 ล้านบาท ด้วยปริมาณการขายที่เพิ่มมากขึ้นและกลยุทธ์ที่ให้ความสำคัญกับผลิตภัณฑ์ที่มีอัตราการทำกำไรสูง

"วันนี้ ภาคธุรกิจต้องปรับตัวและรับมือกับสถานการณ์โควิด-19 ไม่ใช่แค่ระยะสั้น แต่ต้องมองไปถึงระยะยาว สำหรับไทยยูเนี่ยน บริษัทเล็งเห็นถึงความต้องการอาหารที่เพิ่มสูงอย่างต่อเนื่อง จึงให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทานอย่างมีประสิทธิภาพ และมาตรการที่เน้นย้ำความปลอดภัยในการดำเนินงาน ทำให้บริษัทมั่นใจว่าสามารถรองรับความต้องการของผู้บริโภคที่มองหาผลิตภัณฑ์อาหารที่มีคุณภาพได้เป็นอย่างดี" นายธีรพงศ์ กล่าวเพิ่มเติม

ไทยยูเนี่ยนมียอดขายกระจายตัวอยู่ทุกพื้นที่ทั่วโลก โดยในหกเดือนแรกของปี 2563 นี้ ยอดขายในอเมริกาเหนือ มีสัดส่วน 42 เปอร์เซ็นต์ ของยอดขายรวมทั้งหมด ในขณะที่ตลาดยุโรป คิดเป็น 30 เปอร์เซ็นต์ ตลาดประเทศไทยมีสัดส่วน 10 เปอร์เซ็นต์ และยอดขายตลาดอื่นๆ คิดเป็น 18 เปอร์เซ็นต์

เกี่ยวกับ บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)

บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เป็นผู้นำธุรกิจอาหารทะเลของโลก ซึ่ง ส่งมอบผลิตภัณฑ์อาหารทะเลที่มีนวัตกรรม รสชาติดี มีประโยชน์ต่อสุขภาพ และมีคุณภาพสูงให้กับผู้บริโภคทั่วโลกมาเป็นเวลากว่า 40 ปี

วันนี้ บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป ได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้นำในด้านอาหารทะเลระดับโลก โดยเป็นผู้ผลิตผลิตภัณฑ์ปลาทูน่าบรรจุภาชนะชนิดต่างๆ ที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยมียอดขายต่อปีมากกว่า 126,275 ล้านบาท (4.1 พันล้านเหรียญสหรัฐ) และมีพนักงานทั่วโลกรวมกันมากกว่า 44,000 คน ซึ่งล้วนทุ่มเทเพื่อผลิตภัณฑ์อาหารทะเลที่มีนวัตกรรมและมีความยั่งยืน

ไทยยูเนี่ยนเป็นเจ้าของแบรนด์ทั่วโลก ประกอบด้วย แบรนด์ที่เป็นผู้นำตลาดโลกอย่าง Chicken of the Sea, John West, Petit Navire, Parmentier, Mareblu, King Oscar และ Rügen Fisch รวมทั้งแบรนด์ชั้นนำในประเทศไทย ได้แก่ ซีเล็ค ฟิชโช คิวเฟรช โมโนริ เบลลอตต้า และมาร์โว่

จากพันธกิจในการเป็นบริษัทแห่งนวัตกรรมและดำเนินงานด้วยความรับผิดชอบทั่วโลก ไทยยูเนี่ยนภูมิใจที่ได้เป็นหนึ่งในภาคีข้อตกลงโลกแห่งสหประชาชาติ (United Nations Global Compact) และเป็นผู้ร่วมก่อตั้งมูลนิธิเพื่อความยั่งยืนของอาหารทะเลสากล (International Seafood Sustainability Foundation: ISSF) ในปี 2558 ไทยยูเนี่ยนเปิดตัวกลยุทธ์ด้านความยั่งยืน SeaChange® และดำเนินการในเรื่องดังกล่าวอย่างต่อเนื่องเรื่อยมาโดยตลอด จนส่งผลให้ไทยยูเนียนได้รับการคัดเลือกให้เป็นสมาชิกของดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์ (Dow Jones Sustainability Indices หรือ DJSI) สำหรับตลาดเกิดใหม่มาตั้งแต่ปี 2557 และในปี 2562 ไทยยูเนี่ยนได้รับเลือกให้เป็นสมาชิกของ DJSI เป็นปีที่หกติดต่อกัน โดยได้รับเลือกเป็นบริษัทอันดับ 1 ของกลุ่มอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์อาหารเป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน นอกจากนี้ไทยยูเนี่ยนยังได้รับการคัดเลือกให้ติดอันดับดัชนี FTSE4Good Emerging Index เป็นปีที่ 4 ติดต่อกัน และได้รับอีกหลากหลายรางวัลสำหรับการเป็นผู้นำในการทำงานด้านความยั่งยืน